หลังจากนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาส่งสัญญาณว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษาปรับโครงสร้างภาษี อาจจะมีการปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ขึ้นจากปัจจุบันที่จัดเก็บในอัตรา 7% จากกฎหมายที่ระบุให้เก็บได้ถึง 10% ขณะที่ทั่วโลกจัดเก็บภาษีเฉลี่ยสูงถึง 15-25%
โดย “ฐานเศรษฐกิจ” ได้สืบค้นข้อมูลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล บนเว็บไซต์สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พบว่า การจัดเก็บภาษี VAT เป็นรายได้อันดับหนึ่งของกรมสรรพากร โดยข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี แนวโน้มการเก็บภาษี VAT สูงขึ้นเรื่อยๆ ลดลงเฉพาะในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด
โดยในปีงบประมาณ 2567 (1 ต.ค.66 – 30 ก.ย.67) เก็บภาษี VAT ได้สูงเป็นประวัติการณ์ ที่ 947,320 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ขณะที่ปัจจุบัน พบว่า 1 เดือนแรก ในปีงบประมาณ 2568 จัดเก็บภาษี VAT ได้ 79,075 ล้านบาท
สำหรับแนวคิดการปรับเพิ่มอัตราภาษี VAT นั้น หลายรัฐบาล มีความพยายามที่จะดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยการปรับเพิ่มขึ้นของภาษี VAT ทุก 1% จะส่งผลให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่แนวคิดนี้ มีเสียงคัดค้านมาโดยตลอด เนื่องจากมีผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง
โดยการออกมาประกาศแนวคิดนโยบายเช่นนี้ คาดว่า รัฐบาลกำลังโยนหินถามทาง ซึ่งถือได้ว่าการปรับขึ้น VAT เป็นงานวัดใจรัฐบาล ภายใต้การกำกับของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าสุดท้ายแล้วจะตัดสินใจเดินหน้าอย่างไร