นับถอยหลัง "เลือกตั้งสหรัฐ" ชาวอเมริกันและคนทั่วโลกก็จะได้เห็นโฉมหน้าประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา กันแล้ว จะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกอย่าง คามาลา แฮร์ริส แคนดิเดตจากพรรคเดโมแครต หรือประธานาธิบดีหน้าเดิมอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรครีพับลิกัน
จนถึงขณะนี้ ยังคงเป็นเรื่องยากเกินจะคาดเดาว่าใครจะเป็นผู้ชนะ เนื่องจากแคนดิเดตทั้งสองมีคะแนนเบียดกันมากชนิดหายใจรดต้นคอ โดยผลการสำรวจความเห็นหลายสำนักต่างชี้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่สูสีคู่คี่ที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยว่า การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ก็ไม่มีผลกระทบต่อเรื่องของการท่องเที่ยวไทย เพราะประเทศไทยรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ราว 40 ล้านคนต่อปี นักท่องเที่ยวมีหลากหลายตลาด และนักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันก็ทยอยเดินทางเข้ามาเที่ยวมาไทยต่อเนื่องติด 1 ใน 10 เดินทางเข้าไทยสูงสุด
แต่สิ่งที่เรามองคือ ไม่ว่าใครจะขึ้นมา หากสามารถทำให้เกิดสันติภาพในโลกได้ ทำให้สงคราม และการสู้รบในจุดต่างๆลดลง ก็จะเป็นเรื่องที่ดีต่อเศรษฐการค้าโลก และในแง่ของการท่องเที่ยวก็จะเป็นบวกได้เพิ่มขึ้น โดยเท่าที่หาเสียงทางทรัมป์ก็มีนโยบายในเรื่องนี้ ส่วนในแง่ของการกีดกันทางการค้า ภาษีต่างๆ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องก็คงได้รับผลกระทบมากกว่า
นางสาว มารี โอเว่น ทอมสัน รองประธานอาวุโสฝ่ายความยั่งยืนและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) หรือ ไออาต้า เผยว่า วันนี้ อเมริกา oversupply oil อยู่แล้ว ถ้าทรัมป์ชนะ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะขุดเจาะน้ำมันมากขึ้น ก็จะมีผลต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
ส่วนมิติอื่นๆต่อเศรษฐกิจ คือ ทรัมป์พูดว่า จะขึ้นภาษี (tariff) ส่งผลให้สินค้าในอเมริกาแพงขึ้น ซึ่งมองว่าประเทศอื่นจะตอบโต้ (retaliate) ทำให้บริษัทในอเมริกาขายของยากขึ้น ประเทศอื่นซื้อของอเมริกา แพงขึ้น ก่อให้เกิด การค้าขายที่ลดลง (less trade) ซึ่งตามหลักการ จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก