วันนี้ (29 ตุลาคม 2567) แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย โดยปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund หรือ TESG) โดยออกเป็นร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ...) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
สำหรับสาระสำคัญของเรื่องนี้ กระทรวงการคลัง แจ้งว่า เป็นการนำร่างกฎกระทรวงมาเสนอต่อ ครม.อีกครั้ง หลังจากเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ โดยเป็นการปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) มีรายละเอียดดังนี้
ส่วนกรณีผู้ที่ซื้อกองทุน TESG ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันก่อนวันที่ร่างกฎกระทรวงตามที่ กค. เสนอ มีผลใช้บังคับ ผู้มีเงินได้ดังกล่าวจะได้รับสิทธิหักค่าลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในอัตรา 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท และได้รับลดเวลาถือครองหน่วยลงทุนเหลือเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุนด้วย
ขณะที่กรณีที่ซื้อกองทุน TESG ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 และกรณีซื้อกองทุน TESG ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2570 เป็นต้นไป ผู้ซื้อกองทุนจะได้รับสิทธิหักค่าลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในอัตรา 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท เมื่อถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปี นับแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้พิจารณาการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตาม ม.27 และ ม.32 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 คาดว่าจะมีการสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพิ่มอีกปีละประมาณ 31,000 - 14,000 ล้านบาท (ตามมาตรการเดิมคาดว่า จะก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ในปีแรกประมาณ 3,000 ล้านบาท และในปีถัด ๆ ไปปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตามประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการปรับปรุงหลักเกณฑ์การลงทุนในกองทุน TESG มีดังนี้