ธนาคารกรุงศรีฯแนะ "SMEs" ใช้ ESG เพิ่มกำไร-จับตลาดอาเซียนสร้างโอกาสธุรกิจ

นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SMEs ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยบนเวทีเสวนา Post Today SMART SME “EMPOWERING THE NEXT WAVE OF SME" ช่วง “เติมพลังเสริมแกร่ง SME” ซึ่งจัดโดย โพสต์ทูเดย์ ว่า เอสเอ็มอี (SMEs) ต้องก้าวข้ามความท้าทายหลายด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน 

ทั้งนี้ เทรนด์โลกใหม่ในปัจจุบันที่จะกระทบ SMEs ไทยโดยตรง ประกอบด้วย  

• ESG หรือ แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบัน SMEs ที่เล็งเห็นความสำคัญ และเริ่มนำหลัก ESG ไปปรับใช้มีเพียง 14% เท่าน้น ส่วนอีก 74% ยังขาดการรับรู้ ขาดความเข้าใจที่จะนำมาปรับใช้ในโมเดลธุรกิจ ซึ่งในอนาคตธุรกิจใดที่ไม่นำหลัก ESG มาปรับใช้ จะส่งผลกระทบในเรื่องภาพลักษณ์ การขยายตลาด การดำเนินกิจการ แกนหลักธุรกิจ ไปจนถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เนื่องจากในอนาคตการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะไม่ได้พิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้อีกต่อไป แต่จะพิจารณาไปจนถึงว่าธุรกิจนั้นๆสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยขนาดไหน
   

"นโยบายดังกล่าวมีการนำมาปรับใช้แค่ในภาคอุตสาหกรรมพลังงานและการขนส่ง แต่ในอนาคตจะนำมาปรับใช้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นภาคการค้า การผลิต การเกษตร รับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะกระทบ SMEs โดยตรงหากไม่ปรับตัวให้ธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากหาก SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น ต้นทุนการเงินก็จะเป็นปัญหาหลัก อย่างไรก็ดี ต้องการให้มองเทรนด์ดังกล่าวเป็นโอกาสมากกว่าอุปสรรค เนื่องจากผลสำรวจของกรุงศรีพบว่าลูกค้า 90 % ยินดีจ่ายเงินเพิ่มหากสินค้านั้นมีความใส่ใจในเรื่อง ESG ดังนั้นสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถปรับราคาขายได้ กำไรก็จะเพิ่มขึ้น ช่วยคืนทุนเร็วขึ้น"

• เทรนด์ดิจิทัล โดยถือเป็นกระแสที่ประเทศไทยปรับใช้ได้อย่างรวดเร็วในช่วงโควิด-19 ซึ่งตัวเลขจากภาคประชาชนปรับตัวเกิน 85% แต่กับภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ยังมีการปรับใช้ดิจิทัลค่อนข้างน้อย โดยประโยชน์ของการนำดิจิทัลมาปรับใช้จะช่วยสร้างประโยชน์ต่อ SMEs ในหลายด้าน เช่น Digital Marketing ,กระบวนการภายใน และช่วยประหยัดทรัพยากรบุคคลในกระบวนการทำงานบางส่วน เป็นต้น
   

• Geopolitic หรือ ภูมิรัฐศาสตร์ โดยผลกระทบในแง่การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างประเทศส่งผลต่อ Value Chain ระดับโลก ซึ่งไม่ว่าเราจะเป็นผู้ซื้อ (Buyer) หรือผู้จัดหา (Supplier) ที่ดีแค่ไหน แต่หากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความตึงเครียด ก็สามารถเปลี่ยนเจ้าได้ตลอดเวลา ซึ่ง SMEs ควรมองให้เป็นโอกาสจากการขยายฐานการผลิต หรือการสั่งซื้อ

"ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับประโยชน์จากจุดนี้โดยตรง นอกจากนี้ ในพื้นที่อาเซียน (ASEAN) ยังเป็นพื้นที่การตลาดที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากโครงสร้างประชากรของอาเซียนอยู่ในช่วงการเติบโต การจับจ่ายใช้สอย ต่างจากไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย SMEs ควรมองพื้นที่ ASEAN เป็นโอกาสในการซื้อขายระหว่างประเทศ"