"ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป" เดินแผนถอนการลงทุนใน "เรด ล็อบสเตอร์"

16 ม.ค. 2567 | 18:57 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ม.ค. 2567 | 19:06 น.
927

ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ประกาศมุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก เดินแผนถอนการลงทุนในเรด ล็อบสเตอร์ ในไตรมาสที่ 4 หลังใช้เงินลงทุนสูง ไม่สอดคล้องกับแผนจัดสรรเงินลงทุนของบริษัท

รายงานข่าวจากไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป(16 ม.ค. 2567 )แจ้งว่า บริษัทอยู่ระหว่างเดินแผนถอนการลงทุนในเรด ล็อบสเตอร์ ซึ่งการตัดสินใจถอนการลงทุนเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ใหม่ของบริษัท ที่มุ่งสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตในธุรกิจหลัก

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคอุตสาหกรรม อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบ และค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของเรด ล็อบสเตอร์ ทำให้มีผลต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นของบริษัทอย่างต่อเนื่อง และจากการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว คณะกรรมการบริษัทฯ มีความเห็นว่าธุรกิจเรด ล็อบสเตอร์ ที่มีความต้องการใช้เงินสูง ไม่สอดคล้องกับแผนการจัดสรรเงินลงทุนของบริษัทฯ ในฐานะผู้ลงทุน เราจึงตัดสินใจถอนการลงทุนในเรด ล็อบสเตอร์

สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนของเรด ล็อบสเตอร์ จำนวน 665.8 ล้านบาท หรือ 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในระหว่างที่บริษัทฯ ศึกษาช่องทางที่เป็นไปได้ในการถอนการลงทุนนี้ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 นี้ บริษัทฯ บันทึกเป็นรายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียว ที่จำนวนราว 18,500  ล้านบาท หรือประมาณ 530 ล้านเหรียญ

\"ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป\"  เดินแผนถอนการลงทุนใน \"เรด ล็อบสเตอร์\"

ทั้งนี้ หลังจากการบันทึกรายการด้อยค่าดังกล่าว ภาพรวมทางธุรกิจไทยยูเนี่ยนยังเติบโต มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และระดับหนี้ต่ำโดยมีอัตราส่วนหนี้ต่อทุนที่ 0.84 เท่า และเพื่อแสดงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินในวงเงินไม่เกิน 3,600 ล้านบาท หรือไม่เกิน 200 ล้านหุ้น บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสามารถในการทำกำไร และเพิ่มอัตรากำไรในทุกธุรกิจหลัก โดยบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการจัดทำแผนกลยุทธ์สำหรับปี 2573 ซึ่งจะให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจหลักคือ อาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋อง อาหารทะเลแช่แข็ง แช่เย็น และอาหารสัตว์เลี้ยง ที่จะสร้างความแข็งแกร่ง และทำกำไร พร้อมสร้างมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในระยะยาวสำหรับผู้ถือหุ้น