430 นักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทย-จีนเชื่อเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณดีขึ้น

15 ธ.ค. 2566 | 14:01 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ธ.ค. 2566 | 14:02 น.

430 นักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทย-จีนเชื่อเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณดีขึ้น จากข้อมูลการบริโภคและการลงทุนในไตรมาส 3/66 ระบุการลงทุนของจีนในประเทศไทยปี 2567 ยังเพิ่มขึ้น

นายณรงค์ศักดิ์  พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย-จีน ได้ทำการสำรวจจากคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน และประธาน ผู้บริหาร และกรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทยจีน จำนวน 430  คน  ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน ถึง 7 ธันวาคม 2566 มีผลการสำรวจดังนี้

จากข้อมูลการบริโภคและการลงทุนในไตรมาส 3/66 มีสัญญาณการปรับตัวของเศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น พบว่า 60.5% และ 17.2% ของผู้ถูกสำรวจ มีความมั่นใจพอประมาณ และมีความมั่นใจมากตามลำดับที่เศรษฐกิจไทยจะดีอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี 

การสอบถามถึงโอกาสและอุปสรรคต่อเศรษฐกิจไทย พิจารณาจากการส่งออกและปัญหาของหนี้ครัวเรือนต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าและบริการเติบโตเพียง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 ด้วยสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และค่าเงินบาทที่มีความผันผวน 
 

การสำรวจความมั่นใจในการส่งออกปี 2567 พบว่า 74.4% คิดว่ามีความเป็นไปได้ และ 11.7% ลงความเห็นว่าเป็นไปได้มาก ที่การส่งออกจะขยายตัวตามเป้า 3.6%   

430 นักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทย-จีนเชื่อเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณดีขึ้น

แต่เมื่อพิจารณาถึงปัญหาหนี้ครัวเรือน 67.3% เห็นด้วย และยังมี 16.7% เห็นด้วยเป็นอย่างมาก ที่หนี้ครัวเรือนจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า 
การลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยเฉพาะการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ 55% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ให้ความเห็นว่าการลงทุนโครงสร้างระบบคมมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์)นั้น มีความสำคัญมาก และ 21.9% ให้ความเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความสำคัญมากที่สุด มีเพียง 3.7% ให้ความสำคัญต่อโครงการน้อย 

หากพิจารณาการลงทุนของจีนในประเทศไทยแล้วสองปีที่ผ่านมาจีนเป็นประเทศที่มีการลงทุนมากที่สุด เป็นการลงทุนใน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ด้วยสถานการณ์โลกที่มีความขัดแย้ง อาทิสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน สงครามรบระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ 

อย่างไรก็ดี การสำรวยังได้สอบถามถึงผลกระทบต่อแนวโน้มการลงทุนของจีนในประเทศไทยในปี 2567 พบว่า 63.5% คิดว่าการลงทุนจากจีนนั้นยังเพิ่มขึ้น ขณะที่ 16.7% คิดว่าการลงทุนยิ่งเพิ่มขึ้นมากในปี 2567 มีเพียงส่วนน้อยที่คิดว่าการลงทุนจากจีนจะชะลอตัวลง

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงมากในปี 2566 ผู้ตอบแบบสอบถามมีรถยนต์ไฟฟ้าของจีนใช้อยู่แล้ว 11.8% และ 18.8% กำลังวางแผนที่จะซื้อรถไฟฟ้าของจีน 

ขณะที่มีรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ของจีนมากถึง 27.3% ส่วน 5.9% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีทั้งรถไฟฟ้าจีนและไม่ใช่ของจีนอยู่ในครอบครอง ส่วน 31.1% ยังคงใช้รถยนต์เครื่องสันดาปต่อไป โดยที่ยังไม่คิดจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเห็นได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าของจีนนั้นได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น คำถามต่อเนื่องคือจีนจะเลือกประเทศใดเป็นศูนย์กลางการผลิตรถไฟฟ้าในอาเซียน 81.5% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความมั่นใจว่าจีนจะเลือกไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถไฟฟ้า 6.3% คิดว่าน่าจะเป็นเวียดนาม สำหรับมาเลเซีย และอินโดนีเซียนั้นเป็น 5.9% และ 5.4% 

นักธุรกิจหอการค้าไทยจีนจะมีการปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจอย่างไร จากสถานการณ์การรบกันระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ 40.2% มีการเตรียมพร้อมเพื่อลดต้นทุนทางด้านพลังงานและพึ่งพาพลังงานทดแทนมากขึ้น 35.5% คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะจบลงเร็ววันดังนั้นจึงยังไม่ได้เตรียมตัวในการปรับแผนธุรกิจ 12.7% ได้มีการวางแผนเพื่อเร่งหาคู่ค้ารายใหม่ๆ และ 8.2% มีการวางแผนเตรียมพร้อมที่จะลดต้นทุนบุคลากร

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากรายงานของศุลกากรจีน พบว่าการค้าระหว่างประเทศของจีนกับไทย ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-พฤศจิกายน 2566) มีมูลค่าการค้ารวม 114,792.1 ล้าน เหรียสหรัฐ หดตัว 6.1% โดยแบ่งเป็นการส่งออกมายังประเทศไทย มูลค่า 68,951.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 1.5% และจีนนำเข้าสินค้าจากไทย มูลค่า 45,840.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 12.3% ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของจีนในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 ที่มูลค่าการค้ารวมหดตัว 5.6% การส่งออกลดลง 5.2% และการนำเข้าลดลง 6%