เฮ! ครม.ต่ออายุลดภาษี VAT 7% อีก 1 ปี สิ้นสุด 30 ก.ย.67

13 ก.ย. 2566 | 12:29 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ก.ย. 2566 | 18:11 น.

ครม. นัดแรก เห็นชอบการต่ออายุการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ภาษีแวต (VAT) 7% ออกไปอีก 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 - 30 กันยายน 2567

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน วันที่ 13 กันยายน 2566 เห็นชอบการต่ออายุการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ภาษีแวต (VAT) 7% ออกไปอีก 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 - 30 กันยายน 2567

“การปรับลดการเก็บภาษี VAT เป็นปีต่อปีอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้ง เพราะภาระของประชาชนในเรื่องของค่าใช้จ่ายยังสูง ครม.จึงเห็นชอบการปรับลดภาษีเหลือ 7% ต่อไปอีก 1 ปี”

 

เฮ! ครม.ต่ออายุลดภาษี VAT 7% อีก 1 ปี สิ้นสุด 30 ก.ย.67
 

ทั้งนี้ที่ผ่านมาสำหรับการจัดเก็บภาษี VAT นั้น ที่ผ่านมา ครม.เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ได้เห็นชอบการต่ออายุมาตรการขยายเวลาการลดอyตราภาษี VATโดยให้คงจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตรา 7% จากอัตราปกติ 10% เป็นเวลา 2 ปี สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 - 30 กันยายน 2566 

ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลัง รายงานต่อครม.ว่า การคงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีในอัตราเดิม คือ 7% ถือเป็นอัตราภาษีที่รวมภาษีท้องถิ่นแล้ว จากอัตราภาษี VAT ปกติซึ่งคิดอัตรา 6.3% โดยการขึ้นภาษี VAT ทุก 1% จะทำให้รัฐบาลเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 7 หมื่นล้านบาท

คลังชี้แจงเหตุผลลดภาษี VAT 7%

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังพิจารณา แล้วเห็นว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และปีต่อไปมีปัจจัยเสี่ยงจากความผันผวนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 

จากข้อมูลการวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 และแนวโน้มปี 2566 ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2566 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 มีการขยายตัว 1.8% ซึ่งชะลอลงจากการขยายตัว 2.6% ในไตรมาสแรกของปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการส่งออกสินค้าและการใช้จ่ายภาครัฐที่ปรับตัวลดลง 

อีกทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและราคาสินค้าและบริการ รวมถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ล่าช้ากว่าปกติ 

ดังนั้น เพื่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ สนับสนุนการฟื้นตัวของการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภายในประเทศอันจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ บรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคธุรกิจ 

จึงเห็นควรขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มออกไปอีก 1 ปี โดยให้คงจัดเก็บในอัตรา 6.3% (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือ 7% (รวมภาษีท้องถิ่น) สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567

ประมาณการสูญเสียรายได้

การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจะไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี หากไม่มีการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจัดเก็บในอัตราตามประมวลรัษฎากร 11.11% (รวมภาษีท้องถิ่น) จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 380,000 ล้านบาทต่อปี

การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจะไม่มีผลกระทบต่อการประมาณการรายได้รัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อจัดทำวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เนื่องจากได้ประมาณการรายได้โดยใช้อัตราภาษีที่จัดเก็บในปัจจุบัน

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

  1. การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนภายในประเทศและเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามเป้าหมาย
  2. ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยและการลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศขยายตัวได้ตามเป้าหมาย
  3. อัตราภาษีไม่ทำให้ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น