อัปเดตนโยบายเกษตรกรพรรคเพื่อไทย พักหนี้เกษตรกรทั้งต้นและดอก 3 ปี

29 ส.ค. 2566 | 14:28 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ส.ค. 2566 | 14:46 น.

อัปเดตนโยบายเกษตรกรพรรคเพื่อไทย พักหนี้เกษตรกรทั้งต้นและดอก 3 ปี มุ่งสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 4 ปีด้วยหลัก “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” หลังพลังประชารัฐกุมกระทรวงเกษตรฯ

โผครม.เศรษฐา 1 เริ่มนิ่งและชัดเจนแล้วพรรคร่วมรัฐบาลได้เก้าอี้อะไรบ้างซึ่ง “ฐานเศรษฐกิจ” ได้นำเสนอการจัดตั้งรัฐบาลอย่างต่อเนื่องไปก่อนหน้านี้ แต่หนึ่งที่หลายๆคนยังคงคาใจทำไม พรรคเพื่อไทย ถึงยอมเสียตำแหน่งในรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงต้องการให้พรรคเพื่อไทยได้เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ช่วงเลือกตั้ง แต่สุดท้ายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กลับตกไปอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่านโยบายด้านการเกษตรและประมง จะทำตามที่ได้ประกาศไว้หรือไม่น่าติดตามยิ่ง

อย่างไรก็ตาม “ฐานเศรษฐกิจ” ได้อัปเดตนโยบายพรรคเพื่อไทยด้านเกษตรและประมงมีดังนี้

นโยบายเพิ่มรายได้เกษตร

รายได้ของเกษตกรจะเพิ่มเป็น “3 เท่าภายในปี 2570” จากรายได้เฉลี่ย 10,000 บาท/ไร่/ปี เพิ่มเป็น 30,000 บาท/ไร่/ปี  เพราะทั้งราคา และผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำ เมื่อเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าครึ่งหนึ่งของรายรับ จึงทำให้รายได้เหลือไม่พอต่อการชำระหนี้ และการยังชีพอย่างมีคุณภาพ พรรคเพื่อไทยจะสร้างระบบยืนยันราคาทำให้ราคาสินค้าเกษตรดี นำนวัตกรรมการเกษตรมาเพิ่มปริมาณผลผลิต และลดต้นทุนการผลิต รายได้ (สุทธิ) ของเกษตรกรจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 3 เท่าของที่เคยได้รับ

พักหนี้เกษตรกร 3 ปีทั้งต้น ทั้งดอกทันที เพื่อลดภาระในการทำมาหากินของพี่น้องเกษตรกร มุ่งสร้างรายได้ให้พี่น้องเกษตรกรเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 4 ปีด้วยหลัก “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”

  • สร้างทางเลือกให้เกษตรกรเพื่อผลิตสิ่งที่ตลาดต้องการ เปิดตลาดใหม่เพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าให้เกษตร
  • ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สร้างความแม่นยำในการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มจำนวนและคุณภาพของผลผลิต
  • ใช้นวัตกรรม Blockchain เพื่อประกันราคาสินค้าเกษตรล่วงหน้า สร้างความเป็นธรรมให้เกษตรกรด้วยการให้ราคาผลผลิตที่เกษตรกรควรได้รับ 

พักหนี้เกษตรกรทั้งต้นและดอก 3 ปี

 

การผ่าตัดภาคเกษตรเริ่มที่การ “เพิ่มอุปสงค์และปรับอุปทานภาคการเกษตร” นำนวัตกรรมมาสนับสนุน การเพิ่มผลิตภาพ การลดต้นทุน การแปรรูปสู่มูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น ตามแนวทาง 6 ประการ คือ 

1.ดินนำน้ำดี 
2.มีสายพันธุ์ 
3.ยืนยันราคา 
4.จัดหาแหล่งทุน 
5.หนุนนำนวัตกรรม
6.จัดทำกรรมสิทธิ์ที่ดิน

แนวทางการปฏิบัติของพืชเกษตรหลัก บางชนิดมีดังนี้

  • ข้าว ปรับเปลี่ยนนาหว่านสู่นาดำ / นาหยอด งดเผางดนำฟางออกจากแปลง ใช้จุลินทรีย์คุณภาพสูงเพื่อรักษาธาตุอาหารให้หมุนเวียน ลดต้นทุนค่าปุ๋ย เพิ่มผลผลิตต่อไร่
  • ยางพารา ปรับสูตรและเปลี่ยนวิธีใส่ปุ๋ยเสียใหม่ รักษาโรคเชื้อราที่ต้นยาง และฟื้นฟูต้นยางตายนึ่ง (กรีดแล้วไม่มีน้ำยาง) ให้กลับมากรีดได้อีก
  • มันสำปะหลัง ป้องกัน และรักษาโรคเชื้อราที่รากและหัวมันฯ ที่อยู่ในดิน และรักษาฟื้นฟูใบ ที่ถูกคุกคามด้วยโรคไวรัสใบด่าง ทั้งสองโรคทำให้ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ยทั้งประเทศสูญหายไปกว่าครึ่ง
  • ลำไย ปรับคุณภาพดินให้มีความพร้อมกับการเจริญเติบโตของต้นลำไย สนับสนุนด้วยชีวภัณฑ์ที่สามารถเพิ่มทั้งจำนวน ทั้งสัดส่วนของผลลำไยเกรดเอ
  • ข้าวโพด / ถั่วเหลือง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ การให้ปุ๋ยที่เหมาะสม ผสมผสานระหว่างปุ๋ยอนินทรีย์ และอินทรีย์ การพัฒนาอุปกรณ์เก็บเกี่ยวที่เพิ่มความสะดวก และลดการสูญเสีย ฯลฯ

เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรมีทางเลือกใหม่ๆ และมีขนาดของความต้องการสินค้าเกษตรชนิดต่างๆ มากขึ้น เช่น ส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ที่มีโปรตีนสูง และคาร์โบไฮเดรตสูง ในจำนวนที่มากขึ้น ซึ่งสามารถทดแทนการนำเข้ามูลค่าปีละกว่า 300,000 ล้านบาท เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และหญ้าเลี้ยงสัตว์

  • ส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพร เพื่อนำไปสู่การแปรรูป และการสกัดสารสำคัญ ซึ่งมีประโยชน์สูง และมีมูลค่าสูง 
  • ส่งเสริมการเลี้ยงโค จากปริมาณความต้องการจากต่างประเทศในแถบเอเชียตะวันออกปีละกว่า 1 ล้านตัว และประเทศในแถบตะวันออกกลางปีละประมาณ 3 ล้านตัว และมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี รวมทั้งปศุสัตว์อื่นได้แก่ แพะ แกะ ไก่งวง ฯลฯ และประมงน้ำจืดด้วย ซึ่งย่อมสร้างรายได้ต่อเนื่องไปยังเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ เป็นวงกว้าง

ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับการเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต จนสามารถเปลี่ยนเกษตรดั้งเดิมเป็นการเกษตรก้าวหน้า