กฤษฎีกา กางรธน. แจ้งชัด “เบี้ยผู้สูงอายุ” ช่วยผู้ยากไร้-รายได้ไม่เพียงพอ

15 ส.ค. 2566 | 16:04 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ส.ค. 2566 | 16:28 น.
948

เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา แจ้งชัด ปมร้อน “เบี้ยผู้สูงอายุ” กางรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 48 วรรค 2 ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า รัฐต้องดูแลบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งยากไร้และไม่มีรายได้เพียงพอในการดำรงชีพ

กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาหลัง ราชกิจจานุเบกษา ประกาศระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ซึ่งกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงิน “เบี้ยผู้สูงอายุ” 

ล่าสุด นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ชี้แจงข้อมูลว่า ข้อกำหนดเรื่องการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย เป็นแนวนโยบายของรัฐ ที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 48 วรรค 2 ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า รัฐต้องดูแลบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งยากไร้และไม่มีรายได้เพียงพอในการดำรงชีพ 

“ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้ไม่ได้เขียนแบบนี้ แต่เขียนอีกอย่างหนึ่ง แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บอกชัดว่าเราให้ความช่วยเหลือคนที่สมควรช่วยเหลือ เราไม่ได้เป็นรัฐสวัสดิการ แต่เป็นการดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ส่วนที่รัฐบาลจะกำหนดให้เป็นการให้ที่มากขึ้นในลักษณะที่เป็นสวัสดิการนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวนโยบายของรัฐบาล ซึ่งรวมทั้งการกำหนดด้วยว่าจ่ายใครบ้าง” นายปกรณ์ ระบุ

 

รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 48 วรรค 2

นายปกรณ์ ระบุว่า ปัญหาในเรื่องนี้มีการกำหนดระเบียบเพิ่มเติมขึ้นมาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ใครที่รับเงินจากรัฐไปแล้ว เช่น บำเหน็จ บำนาญ จากรัฐไปแล้วห้ามให้มารับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอีก ซึ่งเรื่องนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นว่ากำหนดแบบนั้นไม่ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดว่า หากมีอายุ 60 แล้วเป็นผู้ยากไร้นั้น กำหนดว่ารัฐต้องดูแล รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าเป็นผู้รับเงินจากแหล่งเงินอื่นของรัฐแล้วห้ามรับเงินเบี้ยผู้สูงอายุ ซึ่งหากไปกำหนดในลักษณะนั้นอาจขัดกับรัฐธรรมนูญได้ 

ดังนั้นทางออกของเรื่องนี้จึงให้มีการออกเกณฑ์ที่ชัดเจนเป็นข้อ ๆ คือ เป็นคนไทยที่อายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี และ มีเกณฑ์ในเรื่องความยากไร้ ไม่มีรายได้พอแก่การดำรงชีพ ซึ่งการดูในเรื่องของความยากไร้ของคนอาจดูในเรื่องของเกณฑ์รายได้ตามเส้นความยากจนหรือกำหนดเกณฑ์ที่เหมาะสมขึ้นมาให้ชัดเจนว่าจะอ้างอิงจากส่วนไหน 

อีกทั้งในกฎหมายยังกำหนดบทเฉพาะกาลว่า ใครที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอยู่ในปัจจุบันก็ยังคงได้รับอยู่ ส่วนที่สองคือเงินที่ได้รับอยู่ไม่ได้น้อยกว่าเดิม แต่จะให้มากกว่าเดิมหรือไม่เป็นเรื่องของรัฐบาลใหม่ที่จะกำหนดผ่านเกณฑ์ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ที่จะมากำหนดในเรื่องนี้ ซึ่งการกำหนดเรื่องเกณฑ์ความยากไร้ทำให้เกิดความชัดเจนและไม่ขัดรัฐธรรมนูญ 

 

ชัด “เบี้ยผู้สูงอายุ” รอรัฐบาลใหม่เคาะเกณฑ์ แจกถ้วนหน้า-ให้แค่คนจน

“รัฐบาลให้เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมนั้นเป็นเรื่องแนวโน้มบายของแต่ละรัฐบาล เหมือนกับที่กำหนดไว้ว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ให้ไว้ 12 ปี แต่หากรัฐบาลบอกว่าสำคัญให้เพิ่มเป็น 15 ปี ก็สามารถเพิ่มได้ขึ้นกับมีเงินหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องไปถามว่าหากมีรายได้มากควรจะรับเงินผู้สูงอายุหรือไม่ หรือว่าเราจะช่วยเหลือเฉพาะผู้ยากไร้” นายปกรณ์ ระบุ

เมื่อถามว่านักการเมืองบอกว่า เรื่องนี้เป็นสิทธิ์ที่คนไทยควรได้ทุกคน ยอมรับว่า ก็ต้องย้อนกลับไปดูตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่ารัฐบาลมีหน้าที่ดูแลคนอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ยากไร้ ส่วนที่จะมีเกณฑ์ที่ดูแลทุกคนหรือทุกกลุ่มถือว่าเป็นแนวนโยบายของแต่ละรัฐบาลที่จะทำเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็จะดูในเรื่องของงบประมาณที่มีด้วย หากมีงบประมาณเพิ่มขึ้นก็อาจสามารถให้เพิ่มได้ 

ส่วนบทเฉพาะกาลจะมีผลถึงเมื่อไหร่ ยืนยันว่า บทเฉพาะกาลจะมีผลตลอดไปในการคุ้มครองคนที่ได้รับสิทธิ์อยู่แล้ว ส่วนรายใหม่ก็จะมีการตรวจสอบและขึ้นทะเบียนตามเกณฑ์ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ชุดใหม่ เรื่องนี้ไม่มีใครลักไก่ใครได้ เพราะทุกฝ่ายกำลังติดตามเรื่องนี้