วอนคนรวย เข้าใจรัฐบาลปรับเกณฑ์ “เบี้ยผู้สูงอายุ”

14 ส.ค. 2566 | 17:17 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ส.ค. 2566 | 17:19 น.

รองโฆษกดรัฐบาลแจง เหตุปรับเกณฑ์ เบี้ยผู้สูงอายุ เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลังระยะยาว ชี้งบเบี้ยยังชีพปี 67 แตะ 9 หมื่นล้านบาท จากก่อนหน้าที่ 5 หมื่นล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 8 หมื่นล้านบาท  

จากกรณีที่ ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2566  ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป กล่าวคือตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป

มีประเด็นประเด็นที่เป็นเรื่องวิจารณ์กรณีเปลี่ยนแปลงเกณฑ์จาก “ถ้วนหน้า” ไปเป็นอย่างอื่น ซึ่งสาระสำคัญอยู่ที่หมวด 1 คุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเบี้ยยังชีพ

ข้อ 6 ผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้  

  1. มีสัญชาติไทย
  2. มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
  3. มีอายุหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซึ่งได้ยืนยันสิทธิของรับเบี้ยผู้สูงอายุต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
  4. เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า การปรับเกณฑ์จ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ ที่จะให้เฉพาะผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพนั้น ยืนยันว่า ท่านเดิมยังได้อยู่ เกณฑ์ใหม่รอคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติกำหนด

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

"ขอผู้สูงอายุที่มีฐานะเข้าใจ ซึ่งเป็นการปรับเพื่อใช้งบกับกลุ่มที่จำเป็นหรือเดือดร้อนกว่า แก้ปัญหาอย่างพุ่งเป้า และสร้างความยั่งยืนทางการคลังระยะยาว ปี 2567 งบเบี้ยยังชีพแตะ 9 หมื่นล้านบาท จากก่อนหน้าที่ 5 หมื่นล้านบาท เพิ่มเรื่อยเป็น 8หมื่นล้านบาท"นางสาวรัชดากล่าว