“ไทยยูเนี่ยน” รายได้-กำไร Q3 ทำนิวไฮ 9 เดือนแรกยอดขายพุ่ง 1.15 แสนล้าน

02 พ.ย. 2565 | 14:05 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ย. 2565 | 21:20 น.

ไทยยูเนี่ยน ทุบสถิติรายได้-กำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 65 เผยยอดขายประจำไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 40,756 ล้านบาท โตกว่า 14% กำไรสุทธิ 2,530 ล้านบาท บวกกว่า 30% ขณะ 9 เดือนแรกยอดขาย 1.15 แสนล้าน อาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามาแรงสุด ๆ "ธีรพงศ์"สั่งลุยขยายธุรกิจต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงาน (2 พ.ย.2565) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือทียู รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย.) ปี 2565 ด้วยยอดขายและกำไรสุทธิประจำไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมียอดขาย 40,756 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 14.7% และมีกำไรสุทธิ 2,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.7% เป็นผลจากธุรกิจหลักที่แข็งแกร่งของบริษัท ปัจจัยบวกจากอัตราแลกเปลี่ยน และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

 

“ไทยยูเนี่ยน” รายได้-กำไร Q3 ทำนิวไฮ 9 เดือนแรกยอดขายพุ่ง 1.15 แสนล้าน

 

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่เติบโตสูง สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการผลักดันอย่างต่อเนื่องให้ธุรกิจของบริษัทมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเรื่องของนวัตกรรม และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ  แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ผลการดำเนินงานที่ปรากฎ แสดงให้เห็นแล้วว่า การที่บริษัทให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักให้แข็งแกร่งไปพร้อมกับขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ที่นำนวัตกรรมเข้ามาพัฒนานั้น สามารถส่งผลบวกต่อธุรกิจท่ามกลางสภาวการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นแรงต้านในธุรกิจได้

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มียอดขายรวม 115,974 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายช่วง 9 เดือนแรกมาจาก 3 ธุรกิจหลักได้แก่ ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องสัดส่วน 42% ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น สัดส่วน 37%  และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ สัดส่วน 21%  โดยยอดขายใน 3 ไตรมาสแรกทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 115,974 ล้านบาท เติบโต 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20,338 ล้านบาท เติบโต 8.7% และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.5% แม้ราคาวัตถุดิบหลักมีการปรับราคาขึ้นก็ตาม

 

“ไทยยูเนี่ยน” รายได้-กำไร Q3 ทำนิวไฮ 9 เดือนแรกยอดขายพุ่ง 1.15 แสนล้าน

 

ขณะเดียวกันบริษัทมีการเตรียมการเพื่อการเติบโตและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีการสร้างโรงงานใหม่รวม 3 โรง ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 คาดจะแล้วเสร็จพร้อมดำเนินงานได้ในปี 2566  ในส่วนนี้มีโรงงาน 2 โรงที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจนเปปไทด์  และผลิตอาหารพร้อมทาน  นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการก่อสร้างห้องเย็นเพื่อจัดเก็บปลาทูน่า พร้อมด้วยโรงบำบัดน้ำเสียในประเทศกาน่า  รวมถึงไทยยูเนี่ยนกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและขนมกินเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงในจังหวัดสมุทรสาคร

 “ไทยยูเนี่ยน มีกลยุทธ์ด้านความหลากหลายของธุรกิจ ที่ครอบคลุมทั้งในด้านของผลิตภัณฑ์และตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจของเราจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถผลิตสินค้าที่ดีต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ตามเป้าหมายของเราคือ Healthy Living, Healthy Oceans ที่มุ่งมั่นจะสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับการดูแลทรัพยากรในท้องทะเล” นายธีรพงศ์ กล่าวและว่า

 

แม้จะมีแรงกดดันในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ที่ยังส่งผลอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาคที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ แต่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี ผ่านการเจรจาต่อรองด้านราคากับลูกค้า มีมาตรการป้องกันความเสี่ยงทั้งในด้านวัตถุดิบหลักและอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนการบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ

 

“ไทยยูเนี่ยน” รายได้-กำไร Q3 ทำนิวไฮ 9 เดือนแรกยอดขายพุ่ง 1.15 แสนล้าน

 

บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ความหลากหลายของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนอัตราการทำกำไรที่สูง  ทั้งหมดนี้ส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานที่ผ่านมา  สำหรับไตรมาส 3 ปี 2565 ไทยยูเนี่ยนมียอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องอยู่ที่ 16,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากกำลังซื้อที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง

 

ส่วนยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นยังคงที่อยู่ในระดับใกล้เคียงจากปีที่แล้ว อยู่ที่ 14,820 ล้านบาทโดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาสนี้ออกมาดีมาก มียอดขายอยู่ที่ 8,951 ล้านบาท เติบโต 55.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการที่สูง ราคาขายที่เพิ่มขึ้น และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ