สงครามรัสเซีย-ยูเครนกระทบภาวะการครองชีพครัวเรือนไทยในเดือนต่อไป

11 มี.ค. 2565 | 10:16 น.
อัปเดตล่าสุด :17 มี.ค. 2565 | 15:17 น.

เตรียมรับแรงกระแทก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด ผลพวงสงครามรัสเซีย-ยูเครน หนุนราคาน้ำมันพุ่งสูงยาวนาน กดดันเศรษฐกิจ ระดับเงินเฟ้อและภาวะการครองชีพของครัวเรือนในระยะถัดไป

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่อาจอยู่ในระดับสูงเป็นเวลายาว ซึ่งจะมีผลต่อระดับเงินเฟ้อและภาวะการครองชีพของครัวเรือนในระยะถัดไป

 

โดยครัวเรือนมีแนวโน้มเผชิญกับภาวะราคาสินค้าที่สูงลากยาวจากราคาพลังงานในตลาดโลกที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงไปจนถึงครึ่งปีหลังนี้ ขณะที่ภาครัฐยังทยอยออกมาตรการมาแบ่งเบาภาระต่าง ๆ ต่อเนื่อง ล่าสุดมีการกล่าวถึงโครงการคนละครึ่งระยะที่ 5 ซึ่งจะมีการประเมินหลังสิ้นสุดระยะที่ 4 (เม.ย.65)

นอกจากนี้สถานการณ์โควิด-19 ที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องยังเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง แม้จะไม่ได้กระทบรุนแรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจแต่อาจเป็นตัวซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจให้มีความเปราะบางมากขึ้น

 

ทั้งนี้ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนในปัจจุบันและ 3 เดือนข้างหน้าปรับดีขึ้นอยู่ที่ 33.9 และ 36.0 จากมาตรการภาครัฐที่ทยอยออกเพื่อมาบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ราคาสินค้าที่สูงขึ้น ทั้งโครงการคนละครึ่งระยะที่ 4 ที่เลื่อนขึ้นมาเร็วกว่ากำหนดเดิม และการปรับลดภาษีสรรพาสามิตน้ำมันดีเซล นอกจากนี้ ในเดือนก.พ. ที่ผ่านมาระบบ Test&Go ได้เปิดให้ลงทะเบียนอีกครั้ง และเป็นช่วงเริ่มโครงการเราเที่ยวกันระยะที่ 4

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในส่วนของค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมพบว่าครัวเรือนบางส่วนเริ่มมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยมีการซื้อสินค้าที่มีราคาถูกลง ปัจจัยดังกล่าวบ่งชี้ระดับราคาสินค้าที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของครัวเรือนที่ยังมีภาวะเปราะบางและอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว

 

ทั้งนี้ ผลสำรวจดัชนีฯ ในรอบเดือนก.พ. จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 18-25 ก.พ.65 ซึ่งยังไม่ได้เกิดผลกระทบจากการยกระดับของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์แตะระดับ130 $/barrel ในช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา

 

ในส่วนของประเด็นรายได้และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในปัจจุบันพบว่า ครัวเรือน 33.8% ของครัวเรือนที่สำรวจมีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายรายเดือน ซึ่งครัวเรือนส่วนมากต้องการรายได้เพิ่มเฉลี่ย 10-20% เพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายปัจจุบัน ขณะที่ครัวเรือน 67.5% ไม่มีเงินออม (ครัวเรือนที่รายได้พอดีกับค่าใช้จ่ายและครัวเรือนที่มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย) ทั้งนี้ ความไม่สอดคล้องของรายได้และค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน