เวิร์คพอยท์ลุยปั้นคอนเทนต์ ป้อนทีวี-ออนไลน์

14 ต.ค. 2562 | 20:55 น.
547

วิร์คพอยท์ เดินหน้าพัฒนาคอนเทนต์ป้อนทีวี-ออนไลน์ เล็งเปิดตัวผังใหม่พฤศจิกายนนี้ พร้อมจับมือพันธมิตรลุยต่อปีหน้า ขณะที่ภาพรวมทีวีดิจิทัลหลังเหลือ 15 ช่องเชื่อว่า ยังทรงตัวจากเศรษฐกิจอึมครึม

ความสำเร็จของ “เวิร์คพอยท์” นอกจากการเปลี่ยนภาพจากผู้ผลิตคอนเทนต์ ก้าวสู่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ที่สามารถยืนหยัดมีเรตติ้งในอันดับต้นๆ และมีกำไรได้แล้วนั้น การทรานส์ฟอร์มธุรกิจด้วยการทำเทคโนโลยี มาต่อยอดจนสร้างเป็นรายได้ ทำให้วันนี้เวิร์คพอยท์ถือเป็น “ต้นแบบ” ที่ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ต้องจับตา

เวิร์คพอยท์ลุยปั้นคอนเทนต์ ป้อนทีวี-ออนไลน์

นายชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัลทีวี บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวบรรยายในหลักสูตร Digital Transformation For CEO #1 ในหัวข้อ “ทฤษฎีลองผิดลองถูกบนความเปลี่ยนแปลง” ว่า เวิร์คพอยท์ให้ความสำคัญกับการทรานส์ฟอร์มธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เมื่อ 7 ปีก่อน เมื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคและพบว่า ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับโลกออนไลน์มากขึ้น และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เวิร์คพอยท์ก้าวเข้าสู่ทีวีดิจิทัล การเปลี่ยนแพลตฟอร์มจากทีวีดาวเทียมสู่ทีวีดิจิทัล จึงเดินควบคู่กันไปในทุกๆ แพลตฟอร์มทั้งออนไลน์และออฟไลน์

“การเข้ามาของเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนวิธีการคิด การค้าขาย หัวใจของการทรานส์ฟอร์มคือ ผู้ใหญ่ต้องลุยก่อน การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นสิ่งที่ยากเพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว จนบางทีงงและเหนื่อย แต่วัฒนธรรมองค์กรต้องขยับ ต้องแอกทีฟ”

เวิร์คพอยท์ลุยปั้นคอนเทนต์ ป้อนทีวี-ออนไลน์

การทรานส์ฟอร์มของเวิร์คพอยท์ คือ การทดลองทำ ลองผิด ลองถูก หากว่าใช่ก็ลุยต่อ ซึ่งแน่นอนว่ามีข้อกำหนดว่าโปรเจ็กต์นี้จะสูญเสียได้แค่ไหน ที่ผ่านมามีการทดลองในหลายรูปแบบ ทั้งรายการต่างๆ รวมทั้งการเปิดช็อปปิ้งออนไลน์ โดยล่าสุดจับมือกับ ZAAP on sale เปิดขายสินค้าผ่านทางออนไลน์โดยทดลองทำ ระยะเวลา 1-2 ชั่วโมง พบว่า ร้านค้าบางร้านสามารถขายสินค้าได้กว่า 3 แสนบาทใน 1 ชั่วโมง

เวิร์คพอยท์ลุยปั้นคอนเทนต์ ป้อนทีวี-ออนไลน์

“เวิร์คพอยท์เชี่ยวชาญด้านการผลิตคอนเทนต์ทีวีเก่ง โปรโมตสินค้าเก่ง แต่เราไม่เชี่ยวชาญด้านการผลิตสินค้า เราก็ต้องหาผู้ผลิตที่มีความเชี่ยวชาญมาร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ ซึ่งที่ผ่านมามีพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ เข้ามาต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ที่เข้ามาก็ต้องมีเคมีที่ตรงกัน ซึ่งในปีหน้าจะเห็นพาร์ตเนอร์อีกจำนวนมาก” นายชลากรณ์ กล่าวและว่า

คีย์ซักเซสของเวิร์คพอยท์ คือ การไม่ฟอร์ม เวิร์คพอยท์สามารถลองทำได้ทุกอย่าง ไม่เวิร์กก็เลิก ไม่ดื้อที่จะทำต่อ

สำหรับการทดลองทำโฮมช็อปปิ้ง ในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นการทดลองและมีเพียง 1-2 รายการเท่านั้น ซึ่งอนาคตที่หลายคนคาดการณ์ว่า โฮมช็อปปิ้งอาจจะเข้าสู่เรดโซนนั้น “นายชลากรณ์” มอง ว่า มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะโฮมช็อปปิ้งจะแตกต่างจากทีวี คือจะเห็นยอดขาย ทุกคนรับรู้หมด ที่ผ่านมารายการที่จัดขึ้นในเวิร์คพอยท์ได้รับการตอบรับดีในระดับหนึ่ง แต่มาร์จินไม่ได้เยอะ และเวิร์คพอยท์เองก็ยังโฟกัสที่คอนเทนต์ทีวีและออนไลน์เป็นหลัก

เวิร์คพอยท์ลุยปั้นคอนเทนต์ ป้อนทีวี-ออนไลน์

นายชลากรณ์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมสื่อทีวีหลังจากที่คืนช่องทีวีดิจิทัล ส่งผลให้เหลือเพียง 15 ช่องนั้น ในด้านการแข่งขันเชื่อว่าช่องที่อยู่ในอันดับ 1-6 น่าจะไปได้ แต่ถ้าหลุดจากนั้นจะเหนื่อย ขณะที่ภาพรวมการเติบโตเชื่อว่ายังคงทรงตัวจากเศรษฐกิจ ส่งผลให้ทั้งปีอาจจะไม่มีการเติบโตเลยหรือเติบโตเล็กน้อย ส่วนเวิร์คพอยท์เองโดยภาพรวมยังทรงตัว ขณะที่ในเดือนพฤศจิกายนนี้จะทยอยปรับผังใหม่ ส่วนในปีหน้าจะมีรายการใหม่ออกมาต่อเนื่อง แต่โดยรวมยังเน้นวาไรตีเกมโชว์เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายการเกมโชว์ราว 60%

“ช่วงที่ผ่านมาเรตติ้งทีวีก็ไม่ได้แย่มาก รายการที่เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์เรตติ้งก็จะพุ่ง ที่เรตติ้งดีราว 8-9 ก็มีเยอะ แต่ไม่มากเท่ากับเมื่อก่อน ขณะที่เรตติ้งออนไลน์วัดยาก แต่ถ้าเทียบจากยอดวิวแล้วแพลต ฟอร์มออนไลน์ของเวิร์คพอยท์น่าจะมียอดวิวสูงสุด ทำให้บริษัทมีรายได้จากออนไลน์กว่า 300 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 20%”

 

ล่าสุดเวิร์คพอยท์ยังร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรกับ Facebook ในการเปิดตัว Facebook Watch บริการใหม่ที่เฟซบุ๊ก จัดทำขึ้น โดยร่วมกับ 5 ผู้ผลิตคอนเทนต์ยักษ์ ได้แก่ เวิร์คพอยท์, BEC, One31, Zense Entertainment และวู้ดดี้เวิลด์ นำคอนเทนต์มาให้ดูผ่านทาง Facebook อาทิ รายการ The Mask Singer, I Can See Your Voice นอกจากนี้จะผลิตคอนเทนต์วิดีโอแบบ Exclusive เพิ่มเติมด้วย ซึ่งเป็นอีกแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ เพราะสามารถทำรายได้จาก Ad-Break

เวิร์คพอยท์ลุยปั้นคอนเทนต์ ป้อนทีวี-ออนไลน์

อย่างไรก็ดี ผลประกอบการโดยรวมของเวิร์คพอยท์ ในไตรมาส 2 พบว่ามีรายได้รวม 803 ล้านบาท ลดลง 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไร 72 ล้านบาท ลดลง 37% โดยรายได้ธุรกิจทีวี จากช่องเวิร์คพอยท์และสื่อออนไลน์ มีรายได้ 598 ล้านบาท ลดลง 20% ขณะที่ธุรกิจรับจ้างจัดอีเวนต์ มีรายได้ 83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51 ล้านบาท เติบโต 156% ส่วนธุรกิจการขายสินค้าและบริการ จากแบรนด์ Let Me In Beauty และรายการ 1346 Hello Shop และอื่นๆ มีรายได้รวม 95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200% ขณะที่ใน 6 เดือนแรกของปี บริษัทมีรายได้รวม 1,575 ล้านบาท กำไรสุทธิ 147 ล้านบาท 

หน้า 32 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3513 ระหว่างวันที่ 13-16 ตุลาคม 2562