NUSA ในเงามืด!

25 ส.ค. 2566 | 04:51 น.

NUSA ในเงามืด! คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย…เจ๊เมาธ์

*** หลังจากที่ นายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย ผ่านการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 แทนที่หุ้นอิงการเมืองอย่าง SIRI SC PR9 รวมไปถึง STEC ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่ถูกเซียนจากหลายสำนักเก็งกันว่าจะวิ่งแรง กลับกลายเป็นนิ่ง แทนที่จะวิ่งไปซะอย่างนั้น ส่วนหนึ่งที่ไม่วิ่งก็คงเป็นเพราะในช่วงเวลาก่อนการโหวตตำแหน่งนายกฯ ราคาหุ้นกลุ่มนี้ถูกดันขึ้นมาได้พักใหญ่ จนระดับราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าพอใจไปแล้ว 

ส่วนอีกเรื่องก็อาจมาจากเหตุผลที่ว่า เมื่อทุกอย่างลงตัวก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบทำราคาหุ้นจนกลายเป็นอ่อน หรือ จุดสังเกต อันอาจเป็นสาเหตุให้ถูกกล่าวหา หรือถูกนำมาโจมตีได้ในภายหลัง 

เพราะถึงจะอย่างไรเวลาของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนี้ ก็น่าจะยังมีเหลือมากพอที่จะแผ่อิทธิพลให้ราคาหุ้นที่มีอ้างอิงอยู่เหล่านี้ปรับราคาขึ้นไปได้ ถึงแม้จะไปช้าๆ แต่ก็ไม่น่าจะยากเย็นแต่อย่างใด 

อย่างไรก็ตาม...ในกรณีของ SIRI ตอนนี้ก็ไม่ปรากฏชื่อของ นายเศรษฐา และผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในรายชื่อของผู้ถือหุ้น 10 อันดับแรก 

ส่วนทางด้านของ STEC ก็ไม่ต่างจาก SIRI นั่นก็คือไม่มีชื่อของ นายอนุทิน หรือตัวแทนปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 รายแรกเช่นกัน ในทางกลับกัน...ฟากของ SC และ PR9 ยังปรากฏว่ามีชื่อของคนในกลุ่ม “ชินวัตร” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เช่นเดิมโดยที่ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลง

เอาเป็นว่า ถ้าใครชอบหุ้นอิงการเมืองที่ว่ามาทั้ง 4 ตัว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบ บอกเลยว่า ความเชื่อมั่นไหลเข้ามาแล้ว ถึงราคาหุ้นจะยังไม่ไปไหนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่มีการขยับราคา รอได้ก็รอ...วันนี้ไม่มาแต่วันพรุ่งนี้ก็มันไม่แน่เจ้าค่ะ อิอิอิ

*** ทั้งราคาหุ้น และ สถานะของ ALL เป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกันโดยไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายให้ยุ่งยาก เพราะแน่นอนอยู่แล้วว่า การผิดนัดชำระหนี้ทั้งจากเจ้าหนี้การค้า เจ้าหนี้เงินกู้ยืม จากบุคคลภายนอก เจ้าหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และหุ้นกู้ รวมถึงผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้และผิดนัดชำระคืนเงินรับล่วงหน้าจากลูกค้า 

การที่ ตลท. ขึ้นเครื่องหมาย C เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่า 50% ของทุนชำระแล้วสำหรับงบการเงิน ไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 การขาดทุนรวมถึง 1,653 ล้าบบาทในช่วงครึ่งปีแรก เป็นผลมาจากการที่บริษัทไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันต่อไปได้ ซึ่งโครงการก่อสร้างไม่คืบหน้าก็โอนไม่ได้...ขายไม่ได้ ทำให้บริษัทไม่มีเงินสดเข้ามาจนเหลือสภาพคล่องเป็นเงินสดไม่ถึง 1 ล้านบาทในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างการจัดหาเงินจากแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาชำระหนี้สินและภาระผูกพัน ที่กำลังสุมอยู่รอบตัวในขณะนี้ ส่วนที่ว่าจะได้หรือไม่ หรือจะได้เข้ามาแค่ไหนนั่น ก็เป็นอีกเรื่อง แต่ถึงตอนนี้เจ๊เมาธ์ก็ยังยืนยันคำเดิมว่า หุ้นแบบนี้ยังไม่ควรจะเข้าไปยุ่ง บอกไว้เลย...ของแบบนี้ห่างได้เป็นดีที่สุด
 
*** วันนี้ของ NUSA ที่มีกลุ่มของ “ประเดช กิตติอิสรานนท์” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่โดยมีกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมที่แทบจะไม่มีหุ้นเหลืออยู่ นำโดย “วิษณุ เทพเจริญ” ทำหน้าที่เป็นหน้าเสื่อบริหารงาน และยังคงคุยวนเวียนอยู่แต่เรื่องโครงการอสังหาฯ 

ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ไม่เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับ NUSA จนเกินไปทั้งที่ในความเป็นจริงตอนนี้ NUSA น่าจะได้ชื่อว่าเป็นร่างทรงของ บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง (WEH) ไปโดยที่แทบจะไม่เหลือคราบของ บริษัทอสังหาฯ แบบเดิมไปซะแล้ว แต่ก็นั่นแหละ การที่ NUSA อยู่ภายในเงาของ “ประเดช” ซึ่งชำนาญเรื่องโครงการโรงงานผลิตไฟฟ้า...
มันก็ต้องเป็นบริษัทที่จะต้องเดินไปในทิศทางของโรงไฟฟ้าอยู่วันยังค่ำ 

ขณะที่ปัญหาล่าสุดของ NUSA ที่พึ่งจะเจอในฐานะของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโรงงานผลิตไฟฟ้า ก็เป็นเรื่องของการซื้อหุ้น WEH เพิ่มอีก 26.65% จากเดิมที่มีอยู่จำนวน 7.12% จนถูก ตลท. ทักท้วงว่านี่เป็นการทำ Backdoor Listing (การที่บริษัทเข้าตลาดหุ้นโดยทางอ้อม) ซึ่งจะใช้เงินจำนวนมากในราคา 405 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่า 11,748.28 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้น WEH จำนวน 26.65% จนทำให้ NUSA จะต้องยอมตามที่ ตลท. ทักท้วงมา

เอาเป็นว่าแค่การทำ Backdoor เพียงอย่างเดียวก็ต้องใช้เงินมากกว่าหมื่นล้านบาทแล้ว นี่ยังต้องมีเงินอีกจำนวนหนึ่งเอาไว้เพื่อการทำ Tender Offer (การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์แก่ผู้ถือหุ้นทั่วไป) ซึ่งคงจะมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก 

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นของ NUSA ร่วงลงมาหนัก นั่น คงเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มมองไม่เห็นแล้วว่า บริษัทที่ขาดทุนอยู่แล้วอย่าง NUSA จะไปหาเงินมาจากที่ไหนได้นอกจากการเพิ่มทุน ขณะที่การเพิ่มทุนที่ว่านี้ก็ไม่รู้ว่าใครเอาด้วยบ้างนั่นเอง

*** พอได้เห็นค่าตอบแทนของกรรมการตลาดหลักทรัพย์ไทยแล้ว ก็บอกเลยว่า เจ๊เมาธ์จิเป็นลม ก็แหม...แต่ละคนรับค่าตัวกันเน้นๆ รับกันเป็นเงินหลักล้านบาทต่อปี หลายคนหลายล้าน แต่เงินหลายล้านที่ว่ามันจะไม่มีปัญหาที่เป็นสาระให้ต้องสอบถามกันเลย ถ้าหากที่ผ่านมาไม่มีปัญหาที่เกิดจากการทำงานในเชิงรับมากกว่าการทำงานเชิงรุก จนดูเหมือนจะตามเกมกันไม่ค่อยจะทัน ก็ไม่มีอะไรมาก...เมื่อประชุมบ่อยๆ มันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายมากกว่าปกติเป็นธรรมดาเจ๊เมาธ์ก็แค่อยากให้กำลังใจ...หวังว่าประชุมบ่อยๆ แล้วจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีปัญหาน้อยลงตามจำนวนของการประชุมและค่าใช้จ่ายที่เสียไปก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ อิอิอิ

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,917 วันที่ 27 - 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566