มาแล้ว! เฉือน“การบินไทย”มอบ“ทุนไทย-ต่างชาติ”

20 ก.ค. 2565 | 06:00 น.
2.1 k

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** แม้จะถูกระงับการซื้อขายหุ้นเพื่อเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ แต่บริษัทใหญ่อย่าง บมจ.การบินไทย หรือ THAI ยังคงถูกติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดพบว่า THAI มีการเพิ่มอำนาจของผู้บริหารแผนฟื้นฟูเพื่อให้จัดการปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ เนื่องจาก THAI ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นมาเป็น 8 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่มีอยู่ 2.18 หมื่นล้าน ซึ่งหากทำสำเร็จจะทำให้การ THAI สามารถกลับมาซื้อขายหุ้นได้อีกครั้งในปี 2568 จากเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาประมาณ 80,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นการแปลงหนี้เป็นทุน 55,000 ล้านบาท และการขายหุ้นเพิ่มทุน 25,000 ล้านบาท ขณะที่เงินทุนส่วนหนึ่งจะมาจากการแปลงหนี้สินเป็นทุนรวมถึงการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นเดิม 
 

ขณะที่เพื่อให้มีทุนจดทะเบียนครบ 8 หมื่นล้าน ก็จะมีทุนที่จะเข้ามาใหม่อีกส่วนหนึ่งที่ได้มาจากการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง และหากจำการหลุดจากความเป็นรัฐวิสาหกิจเป็นหนึ่งในเงื่อนไขหลักของแผนฟื้นฟูด้วยการลดสัดส่วนการถือหุ้นของภาครัฐจากที่เคยมีอยู่ 53.16% ลดลงมาเหลือ 32.7% นั่นหมายความว่า อิทธิพลในการกำกับดูแลกิจการของภาครัฐก็จะหายไปด้วย 

จากนี้ไปก็ต้องจับตาดูให้ดีว่า การขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงที่ว่านี้จะขายให้ใครกันแน่ และจะเป็นการเอื้อต่อกลุ่มทุนใดหรือไม่ เพราะหากมองในแง่ดีนักลงทุนก็จะได้วางแผนว่าจะเข้าไปเก็งกำไรกลุ่มทุนได้ จะได้ประโยชน์จากการแบ่งเค้กก้อนนี้ แต่ถ้ามองในอีกมุมก็จะได้รู้ว่า อำนาจของผู้บริหารแผนฟื้นฟูที่เพิ่มมากขึ้น จะเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนใดด้วยเช่นกัน


*** ในที่สุด KEX ก็ถูกเทขายเพื่อทำกำไรระยะสั้นแบบที่เจ๊เมาธ์เคยระแวงไม่มีผิด อย่างหนึ่งก็เป็นเพราะว่าราคาหุ้นที่ถูกดันราคาขึ้นมาสูงมากทั้งที่พื้นฐานทางธุรกิจนักวิเคราะห์ต่างก็มองกันว่าในปี 65 บริษัทฯ ยังจะขาดทุนต่อไปอีก ขณะที่การทุ่มตลาดรอบใหม่ด้วยการลดค่าบริการก็ยิ่งซ้ำเติมความสามารถในการทำกำไรของ KEX ที่ปกติอ่อนแออยู่แล้วให้ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก ทำให้หลายฝ่ายต่างก็มองไม่เห็นว่าในระยะสั้น KEX จะเริ่มทำกำไรได้จริงเมื่อไหร่กันแน่ 

แน่นอนว่าการเตะตัดขาคู่แข่งด้วยการกินรวบทั้งตลาด คือ แผนการในระยะยาวที่ทางผู้บริหารของ KEX กำลังดำเนินการ แต่กว่าที่จะเห็นผลก็อาจจะต้องแลกมาด้วยราคาหุ้นที่ต่ำลงไปมากกว่านี้อีกพอสมควร ซึ่งก็แล้วแต่ว่ามีใครทนอยู่ต่อไปได้หรือเปล่า แต่บอกเลยว่าเกมนี้ยาวนะคะ ถ้าใครทนได้ก็ทนต่อไปเจ้าค่ะ
 

*** ราคาน้ำมันดิบกลับมาเป็นขาขึ้นอีก ครั้งแสดงให้เห็นว่าการไปเยือนซาอุดิอารเบียของนายโจ ไบเดน ไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวัง กรณีนี้ทำให้หุ้นพลังงานอย่าง PTTEP BANPU และหุ้นกลุ่มโรงกลั่นเช่น TOP BCP IRPC SCGP และ ESSO กลับมาน่าสนใจได้อีกครั้ง แม้ว่าในส่วนของหุ้นโรงกลั่นที่อยู่ในกลุ่ม PTT อย่างเช่น PTTGC TOP และ IRPC อาจจะได้รับผลกระทบจากการที่จะต้องจ่ายเงิน 3 พันล้านบาท เพื่อลดแรงกดดันทางการเมืองช่วยทางภาครัฐอยู่บ้าง แต่สำหรับบริษัทเอกชนรายอื่นๆ ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีบริษัทไหนยอมเฉือนเนื้อตัวเองเพื่อแบ่งเงินส่วนนี้ออกมาให้ แต่ในส่วนของ PTTEP และ BANPU ยังคงเป็นหุ้นในกลุ่มที่เจ๊เมาธ์ยังคงเห็นว่าน่าสนใจอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไปได้อีกไม่ไกลมากแต่ก็ยังน่าจะได้ไปต่ออยู่ดีเจ้าค่ะ
 

*** SABUY นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในหุ้นที่เจ๊เมาธ์ย้ำมาตลอดว่า ไม่น่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสร้างข่าวสารพัดดีลทางธุรกิจ ที่ดูจับฉ่ายมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น ก็ยังมีเรื่องของผลการดำเนินงานที่แม้ว่าจะดูดีขึ้นมาบ้างในช่าง 1-2 ไตรมาสที่ผ่านมา...แต่ก็ไม่ดีพอที่จะดันราคามาได้ไกลขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ของแบบนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้ราคาหุ้นของ SABUY อาจจะปรับลงมาเพื่อพักฐาน ก่อนจะดันราคาขึ้นไปอีกก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ถ้าเป็นเจ๊...เจ๊จะมองอีกทีก็ตอนที่ราคาขยับขึ้นไปเท่านั้นนะคะ สำหรับหุ้นขาลงก็คงต้องเก็บเอาไว้ก่อน...รอให้เป็นขาขึ้นแล้วค่อยว่ากันอีกทีเจ้าค่ะ
  

*** แม้ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารอย่าง KBANK BBL และ SCB จะเป็นหุ้นที่ถูกรับรู้กันว่าผลการดำเนินงาน 2/65 จะออกมาดีมาก แต่ก็นั่นแหละ...เพราะการที่ใครๆ ก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตทำขาดเสน่ห์และไม่เร้าใจ แต่หากจะมองในมุมของเจ๊เมาธ์ การที่ราคาหุ้นกลุ่มนี้ร่วงลงมาต่ำแบบนี้ ยิ่งน่าสนใจมากมากกว่าปกตินะคะ พื้นฐานดีๆ แบบนี้ลงแรงได้ ก็ขึ้นแรงได้ ถ้าใครมือไว...จับจังหวะได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไวไม่พอก็ต้องทยอยเก็บในตอนที่ราคาต่ำแบบนี้ไปก่อนก็ยังดีเจ้าค่ะ 


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,802 วันที่ 21 - 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565