เงินเฟ้อ-เศรษฐกิจฟุบ-หุ้นฝืด

16 ก.ค. 2565 | 18:28 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ค. 2565 | 20:37 น.
1.4 k

เงินเฟ้อ-เศรษฐกิจฟุบ-หุ้นฝืด : บทความโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR

น่าจะประมาณ 20 ปีมาแล้ว คือประมาณปี 2544 หรือ 2545  ผมจำได้ว่ามีการจัดงานสัมมนาใหญ่ทางด้านการเงินเป็น “ครั้งแรก” ที่ไบเท็คบางนา  ผมขึ้นพูดในรายการของ “Money Talk” ในหัวข้อเรื่องทำนองว่าจะลงทุนอย่างไรในภาวะ  “บาทตก  หุ้นเตี้ย  ดอกเบี้ยต่ำ” ซึ่งผู้พูดรวมถึงอาจารย์สุนีย์ สินธุเดชะ ปรมาจารย์ด้านการศึกษาและการพูดที่ลูกศิษย์ลูกหารวมถึงคนทั่วไปที่เป็นแฟนคลับติดตามรับฟังและรับชมในยุคนั้น  ซึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า  คนที่ฟังยังไม่ใช่เป็นนักลงทุนที่เน้นเนื้อหาทางด้านการลงทุนมากนัก  จำเป็นต้องมี  “แม่เหล็ก” อย่าง “อาจารย์แม่” มาดึงคนให้มาฟัง  ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
.

ในเวลานั้น เป็นช่วงหลังปี 2543 หรือปี 2000 ที่เกิดวิกฤติหุ้นไฮเท็คในอเมริกาและดัชนีหุ้นไทยตกลงไปถึง 44% เป็น “วิกฤติตลาดหุ้น” ที่ทำให้หุ้นตกลงไปเหลือเพียงสองร้อยกว่าจุด  และนั่นก็เป็นที่มาของคำว่า “หุ้นเตี้ย” ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น  เงินบาทกำลังตกลงมาจากประมาณ 40 บาทเป็น 44-45 บาทหรือตกลงมาถึง 10% ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า  “บาทตก”  
.

อย่างไรก็ตาม  อัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาดังกล่าวที่น่าจะต้องปรับตัวขึ้นเพื่อป้องกันบาทตกนั้น  กลับปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วจากประมาณ 6.5% ต่อปีในช่วงสิ้นปี  2543 เป็น 2.25% ในปี 2544 และเหลือเพียง 1.25% ในปี 2545 เป็นช่วงเวลา  “ดอกเบี้ยต่ำ” ที่ทำให้คนฝากเงินเดือดร้อน  แต่ทั้งหมดนั้นเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก

ยังจำได้ว่า  ผมมีความรู้สึกที่เป็นบวกมาก  ส่วนหนึ่งเพราะพอร์ตการลงทุนแบบ “Value Investment” ที่ผมใช้ในการลงทุนและพยายามเผยแพร่แนวคิดซึ่งยังใหม่มากในเวลานั้น  มีกำไร  ผลตอบแทนยังบวกถึง 22% ในยามที่ดัชนีตกไป 44%  แต่ก็ยังจำได้อีกว่าในเวลานั้น  คนที่เข้าไปชมงานสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับการเงินครั้งนั้น  ต่างก็มีอารมณ์คึกคักในการเข้าชมบูทที่สถาบันการเงินต่างก็มาเปิดเพื่อหาลูกค้า  คนหนุ่มสาวที่เป็นคนรุ่นใหม่เริ่มเข้ามาสนใจการเงินกันมากขึ้น  
.

การลงทุนในหุ้นที่แทบจะหายไปอานิสงส์จากวิกฤติปี 2540  เริ่มกลายเป็นอดีตของ “คนรุ่นเก่า”  “การเงินยุคใหม่”  กำลังมาพร้อมกับคน “รุ่นใหม่” ที่มีความรู้และมีรายได้หรือเงินเดือนสูง การลงทุนในหุ้นกำลังเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นต้องทำสำหรับพวกเขา
.

ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น  ตลาดหุ้นก็เริ่มปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ  ปี 2544 หุ้นขึ้นไป 13% ปี 2545 ขึ้นไป 17% และปี 2546 ขึ้นไปถึง 117%  ซึ่งนั่นก็คงมาจากการที่ภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินเอื้ออำนวยเป็นอย่างยิ่ง  การเติบโตทางเศรษฐกิจก็เป็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง  จากการเติบโตของ GDP ที่ 3.4% ในปี 2544 เป็น 6.1% ในปี 2545  และเป็น 7.2% ในปี 2546 ซึ่งก็ส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนโตแบบก้าวกระโดดกว่า 50% 
.

ในช่วงเวลาดังกล่าว  แต่ที่ดีเยี่ยมยิ่งกว่านั้นก็คือ  ค่า PE ของตลาดในปี 2544 อยู่ที่เพียง 4.9 เท่า  ปี 2545  อยู่ที่ 7 เท่า  และในยามที่ดัชนีตลาดขึ้นเกิน 100% ในปี 2546 ค่า PE ก็อยู่ที่เพียง 18.2 เท่า เท่านั้น

หันกลับมาสู่ปัจจุบัน  ภาวะที่ผมอยากจะเรียกเทียบเคียงกับ “บาทตก-หุ้นเตี้ย-ดอกเบี้ยต่ำ” ก็คือ “ เงินเฟ้อสูง- ดอกเบี้ยเพิ่ม- เศรษฐกิจซบ และหุ้นฝืด” และนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นแต่มันเกิดขึ้นแล้วและจะดำเนินต่อไปอีกนานพอสมควร  บางเรื่องอาจจะหลายปีหรือเป็นเรื่องของวัฏจักร์ระยะยาว  เพราะเหตุที่ทำให้เกิดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่หายไปง่าย 
.

ตัวอย่างเช่น  เรื่องของเงินเฟ้อที่มาจากเรื่องของสงครามที่มักจะไม่จบลงง่าย เช่นเดียวกับเรื่องของดอกเบี้ยที่มักจะล้อไปกับเงินเฟ้อ  และก็เป็นเรื่องของการที่มันถูกกดลงมามากและนานเกินไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ในด้านของเศรษฐกิจเองนั้น  ก็เป็นผลที่มักจะหลีกเลี่ยงได้ยากที่จะต้องเติบโตลดลงหรืออาจจะติดลบไปเลยในยามที่ภาวะทางด้านการเงินไม่เป็นใจ  
.

เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  สภาพคล่องทางการเงินทั้งในด้านของรัฐหรือของบุคคลธรรมดาที่จะต้องลดลง  อานิสงส์ส่วนหนึ่งจากการที่มีการก่อหนี้มหาศาลในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วงโควิด-19
.

และสุดท้ายก็คือ  “หุ้นฝืด”  หรือก็คือ  หุ้นตกลงมาอย่างหนักและทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลที่เน้นการเล่นหุ้นเก็งกำไรขาดทุนอย่างหนักจนเลิกเล่นหุ้น  ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นซบเซาลงอย่างหนัก โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันลดลงมามากและลดลงอย่างต่อเนื่อง  และนักลงทุนส่วนบุคคลมีสัดส่วนการซื้อขายลดลงจนเหลือแค่ประมาณ 30% ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลายเป็นประมาณ 50%  และปริมาณการซื้อขายต่อวันลดเหลือระดับประมาณแค่ 5-60,000 ล้านบาท เทียบกับระดับเกือบแสนล้านบาทในช่วงเก็งกำไรร้อนแรง 1-2 ปีก่อนหน้านี้
.

ในความคิดของผมต่ออนาคตดัชนีตลาดหุ้นอย่างน้อยประมาณ 6 เดือนข้างหน้านั้น  สำหรับตลาดหุ้นระดับโลกซึ่งเน้นที่ตลาดหุ้นอเมริกานั้น  ผมคิดว่าหุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นน่าจะยาก  เหตุผลนอกจากปัจจัยดังที่กล่าวแล้วก็คือ  ดัชนีตลาดหุ้นของอเมริกาในระยะยาวตั้งแต่ปี 2009 หลังวิกฤติซับไพร์มจนถึงสิ้นปี 2021 เป็นเวลาประมาณ 13 ปี  ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์  
.

ดังนั้น  ตั้งแต่ต้นปี 2022 ที่ตลาดหุ้นตกลงมาเฉลี่ยถึง 20% ภายใน 6 เดือนจึงเป็น “ขาลงระยะยาว” ที่อาจจะต่อเนื่องไปอีกหลายปีที่ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ไม่น่าประทับใจเพื่อที่จะทำให้ “ผลตอบแทนระยะยาวมากของตลาดหุ้นอเมริกา” ไม่สูงเกินความเป็นจริงที่ประมาณไม่เกิน 10% ต่อปีแบบทบต้น  พูดง่าย ๆ  หุ้นอเมริกาต่อไปนี้คงไม่ดีนัก  ถ้าไม่ตกหนักลงไปอีกจนเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติที่เกิดขึ้นแล้ว
.

ในด้านของตลาดหุ้นไทยนั้น  ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา  ดัชนีตลาดหุ้นเป็น Sideway หรือปรับตัวขึ้นลงไม่มากมาตลอด  ดัชนีวันนี้เท่า ๆ กับดัชนีในเดือนมีนาคม 2556 ที่ประมาณ 1,561 จุด และผมก็คิดว่าดัชนีหุ้นไทยก็อาจจะทรงตัวหรือ Sideway ต่อไปโดยที่โอกาสที่จะตกลงมาหนักก็อาจจะไม่มาก
.

เหตุผลเพราะว่า “ผลตอบแทนระยะยาว” โดยเฉพาะในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาก็ไม่สูง  หรือพูดง่าย ๆ  ว่า  “ในเมื่อหุ้นไม่เคยขึ้นเลย  ดังนั้นมันก็คงจะไม่ตกลงมามากนัก”  ความเชื่อของผมก็คือ หุ้นไทยก็คงจะทรง ๆ  ไปจนถึงต้นปีหน้าครบ 10 ปีที่นักลงทุนแทบจะไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน เป็น  “Lost Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” ของตลาดหุ้น
.
แต่ผมเองก็จะยังคงถือหุ้นไทยต่อไปด้วยความเชื่อที่ว่าถ้าเราถือหุ้นดีเป็นหุ้น Value เราก็น่าจะได้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอยู่บ้าง  ซึ่งก็น่าจะดีกว่าผลตอบแทนจากทรัพย์สินอย่างอื่นทั้งหมดในประเทศไทยเช่น อสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นกู้และพันธบัตร  

 

นอกจากนั้น  ผมยังคิดว่า  ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังมีโอกาสดีดตัวขึ้นแรงได้  ถ้าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในหลาย ๆ  ด้านหลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวมานานติดต่อกันหลาย ๆ  ปี และดูเหมือนว่ากำลังจะ “ติดกับ”อยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางหรือ  “Middle Income Trap”  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น  
.
 

ผมเองคิดว่าจะต้องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ค่อนข้างจะ “ล้าหลัง” เมื่อเทียบกับประเทศในระดับการพัฒนาเดียวกัน  และนั่นทำให้ผมคิดว่า  ภายในต้นปีหน้าที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่  จะเป็นวันที่มีความสำคัญมากต่ออนาคตของประเทศไทย-- และตลาดหุ้น