*** ภายหลังจากที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ประธานธิบดีสหรัฐ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจาก 3 ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ อย่าง แคนาดา เม็กซิโก และ จีน ทำให้ประเด็นเรื่องสงครามการค้าถูกนำกลับมาพูดถึงกันอีกครั้ง ซึ่งกรณีนี้เจ๊เมาธ์ก็มองว่า จะส่งผลกระทบกับหุ้นไทยอย่างที่แคยเขียนถึงมา ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีผลการเลือกตั้งออกมาอย่างเป็นทางการแน่นอนการย้ายฐานการผลิตจากจีน เพื่อส่งสินค้าเข้าสหรัฐแทนจะต้องเกิดขึ้น ซึ่งกลุ่มหุ้นที่จะได้อานิสงส์ อาจประกอบไปด้วย
หุ้นกลุ่มนิคม อย่าง AMATA ROJNA และ WHA ที่จะมีการย้ายฐานผลิตเข้าลงทุนที่ว่ามากขึ้น ส่วนหุ้นกลุ่มเดินเรืออย่าง RCL PSL TTA ซึ่งจะได้อานิสงส์จากค่า BDI ซึ่งกำลังปรับตัวสูงขึ้นมาอีกครั้ง
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่จะได้ประโยชน์จากการกีดกันสินค้าแล้วเทคโนโลยีของจีน เช่น INSET AIT ICN
หุ้นในกลุ่มพลังงาน Fossil เช่น PTT PTTEP BANPU
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของเจ๊เมาธ์ อะไรที่รู้ หรือคาดว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนใหญ่มักจะวิ่งนำหน้าไปแล้ว (Front Run) ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงเชื่อว่า ไม่ว่าหุ้นกลุ่มใดก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่แล้วแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากที่เคยเป็นอย่างแน่นอน แต่การไม่ประมาทด้วยการวางเฉย หรือ มองข้าม จึงยังคงสำคัญ อย่างน้อยถ้าจับทิศทางได้ ...ก็น่าจะมีอะไรมีไม่ติดมือมาบ้างแน่นอนค่ะ
*** น่าสังเกตว่า หุ้นอิเล็กส์ทรอนิกส์ในตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ ดูเหมือนจะมีเพียง 2 ตัวคือ DELTA และ CCET เท่านั้น ที่มีความเคลื่อนไหวโดดเด่นกว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการขยับราคา และแรงซื้อที่มีเข้ามาอย่างมหาศาล รวมไปถึงรูปแบบของการยืนราคา ...ว่าแต่ทั้งสองบริษัทมีสิ่งใดที่เหมือนหรือแตกต่าง จนทำให้ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัท เคลื่อนที่ไปในลักษณะและทิศทางที่ยังกับถอดแบบกันมา!!!
อย่างแรก แม้ว่าทั้ง DELTA และ CCET เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝั่งของ DELTA เป็นบริษัทที่มีตราสินค้า (Branding) เป็นของตัวเอง ขณะที่ในฝั่งของ CCET กลับเป็นบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนเพื่อส่งให้กับลูกค้าแต่เพียงอย่างเดียว
และอย่างที่สอง ก็คือ ทั้ง DELTA และ CCET ถึงแม้จะมีโรงงานอยู่ในประเทศไทย แต่ทั้งคู่ต่างก็เป็นบริษัทที่มีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศไต้หวันเช่นเดียวกัน
ต่อมาก็เป็นเรื่องของสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ที่ทั้งสองบริษัทต่างมีอยู่ไม่สูงนัก โดยในฝั่งของ DELTA พบว่าปัจจุบันมี Free Float อยู่เพียง 23.08% ขณะที่ในฝั่งของ CCET พบว่ามี Free Float อยู่เพียง 32.74% ซึ่งด้วยสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยเพียงเท่านี้ ก็ทำให้การดันราคาหุ้นสามารถทำได้ไม่ยาก...เฉพาะอย่างยิ่งราคาหุ้นของ DELTA เคยวิ่งแรงมาแล้วเพราะประเด็นของ Free Float นี่เอง
ท้ายที่สุดเป็นเรื่องของการดูแลหุ้น ซึ่งเรื่องนี้เจ๊เมาธ์ได้ยินข่าวลือแว่วมาว่า ทั้ง DELTA และ CCET ต่างก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งมีบริษัทแม่ตั้งอยู่บนแผ่นดินไต้หวันเช่นเดียวกัน ซึ่งก็น่าจะมีอยู่ไม่กี่บริษัท ยกตัวอย่างเช่น บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง รวมถึง บล.เคจีไอ แต่อย่างว่า ...เมื่อเป็นข่าวลือก็อาจจะไม่ใช่ความจริงก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ...ถ้าหากว่าทิศทางและรูปแบบการเคลื่อนที่ของทั้ง DELTA และ CCET เป็นไปในทิศทางแบบเดียวกันจริงอย่างที่เจ๊เมาธ์คิด ดังนั้น ด้วยคุณสมบัติที่เหมือนกันหลายอย่างที่ว่ามาแล้ว ก็มีความเป็นได้ที่ราคาหุ้นของ CCET อาจจะเดินตามรอยในแบบที่ DELTA เคยเดินผ่านมาแล้วก็เป็นไปได้
ของแบบนี้ใครจะไปรู้ ...คำพูดลอยๆ ที่พูดกันมาว่า CCET กำลังจะกลายเป็น “เดลต้าตัวสอง” อาจจะเป็นจริงขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน
*** ในที่สุด JAS ของ “เสี่ยพิชญ์” ก็สามารถข้ามด่านความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน หลังได้รับหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรจาก The Football Association Premier League Limited (Premier League) ได้ลงนามยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า JAS ได้สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว (Exclusivity right) ในการถ่ายทอดสดภาพและเสียงของรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ เป็นระยะเวลารวม 6 ปี หรือ 6 ฤดูกาล ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศกัมพูชา และ ประเทศลาว อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการถ่ายทอดสด รีรัน และ ไฮไลท์ ซึ่งคาดว่าน่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทั้ง JAS และ MONO ได้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้สิ่งที่จะต้องจับตามมองก็คือ เงินลงทุนที่ทาง JAS จะต้องหาเงินเข้ามาเพิ่มในส่วนที่ขาด หลังจากที่เคยแจ้งออกมาว่า บริษัทมีเงินสดในมือเพียง 4.7 พันล้านบาท ทำให้ JAS จำเป็นที่จะต้องระดมทุนเข้ามาเพิ่มอีกราว 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่าจะหามาจากที่ไหน
แต่ก็อย่างว่า...เสี่ยพิชญ์ซะอย่างจะเพิ่มทุนหรือจะกู้ เสี่ยเค้าก็มีวิธีการจัดการได้อยู่แล้ว ส่วนจะเป็นวิธีไหนอีกไม่นานก็คงจะได้รู้กันเจ้าค่ะ