EA NEX BYD ความซวย...ที่มาจากยุคมืด!

03 ก.ค. 2567 | 07:30 น.
7.5 k

EA NEX BYD ความซวย...ที่มาจากยุคมืด! : คอลัมเมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** ไม่ต้องเป็นนักลงทุนใหญ่ ไม่ต้องสังเกต หรือ คิดอะไรให้ลึกซึ้งก็รู้ได้ว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง และไม่ต้องมองไปที่หุ้นตัวอื่น เอาแค่หุ้นในกลุ่มเดียวกัน อย่าง EA NEX และ BYD ซึ่งตอนนี้ถูกพิษของตลาดหุ้นที่อยู่ใน “ยุคมืด” มาหลายปี กำลังกัดเซาะ จนทำให้บริษัทที่พื้นฐานทางธุรกิจ แทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่ราคาหุ้นกลับร่วงลงหนัก ยังกับบริษัทกำลังจะเจ๊งไปซะชิบ... 

ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่อง “ยุคมืด” ของตลาดหุ้นไทย เจ๊เมาธ์ว่าเรามาพูดถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาแรงของทั้ง EA NEX และ BYD เป็นการปูพื้นเอาไว้น่าจะดีกว่า 

เริ่มจาก บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ซึ่งเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วยธุรกิจพลังงานทดแทน โดยการขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 560 ล้านหุ้น โดยมี “สมโภชน์ อาหุนัย” เป็นทั้งผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร มาตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. 2556 ก่อนที่จะมีราคาหุ้นเคยพุ่งขึ้นไปเกือบร้อยบาท เมื่อเดือนตุลาคมปี 2565 ก่อนที่วันนี้ราคาหุ้น จะลงมาเคลื่อนไหวอยู่ที่สิบบาทกว่าๆ ซึ่งเป็นการร่วงลงมาถึง -90% ในปัจจุบัน 

ขณะที่ในส่วนของ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ปัจจุบันมี บริษัท อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง จำกัด บริษัทลูกของ EA ถือหุ้นใหญ่ โดยที่บริษัทแห่งนี้ เป็นผู้ผลิตรถไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ รวมไปถึงได้รับสิทธิ์ในการผลิตรถบัสไฟฟ้า ให้กับ องศ์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) รายนี้ราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุดที่เกือบๆ 20 บาท เมื่อปลายปี 2565 ก่อนจะร่วงลงมากว่า -90% ไม่ต่างกัน 

ขณะที่ทางด้านของ บริษัท หลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD ก็มีบริษัท อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง จำกัด บริษัทลูกของ EA เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เช่นเดียวกัน นอกจากธุรกิจหลักทรัพย์ BYD ยังมีธุรกิจ บริษัท ไทยสมายล์บัส จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจให้บริการรถขนส่งมวลชน ซึ่งกินพื้นที่แทบจะทั้งหมดของ กทม. โดยที่ทาง BYD จะซื้อรถบัสไฟฟ้ามาจาก NEX นั่นเอง โดยราคาหุ้นของ BYD เอง ก็เคยปรับราคาขึ้นไปถึงสิบห้าบาทกว่าๆ ในช่วงเดียวกันกับทั้ง EA และ NEX ก่อนที่ราคาหุ้นจะร่วงลงมาถึง -80% เช่นเดียวกัน 

แต่ปัญหาของทั้ง EA NEX และ BYD ต่างก็เหมือนกัน นั่นก็คือ ราคาหุ้นปรับลงแรง ทั้งที่พื้นฐานทางธุรกิจแทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง เพราะวันนี้บริษัทยังคงมีกำไร หรือ หากเปลี่ยนแปลงไปบ้าง บริษัทก็ไม่ได้ “เจ๊ง” หรือ เสียหายรุนแรง ขนาดที่จะทำให้ราคาหุ้นร่วงแรงได้ขนาดนี้  

แล้วนี่มันเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทยกันแน่....

อย่างแรก ก็ต้องยอมรับว่า ความต้องการที่จะผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยก้าวสู่ความเป็นสากล โดยที่ไม่มีการปิดจุดอ่อน หรือ หากจะว่าง่ายๆ ก็คือ “ไม่ดูเงาตนเอง” ว่าจะไปได้จริงแค่ไหน ทำให้จนจุดอ่อนที่ว่านี้ กลายเป็นจุดที่ถูกทุนต่างชาติไหลเข้ามาโจมตีราคาหุ้น และดูดเงินออกไปจากระบบของตลาดหุ้น ผ่านทาง Short Selling และ Naked Short Selling ผ่านเข้ามาทางฝรั่งหัวทอง และ หัวดำ ซึ่งได้ถูกปล่อยปะละเลยมานาน นาน...จนกว่าที่จะเริ่มคิดได้ก็เสียหายจนแทบจะเกินเยียวยา

อย่างที่สอง เป็นเรื่องของวิกฤติความเชื่อมั่น ที่ต่อเนื่องมาจากการที่ราคาหุ้นถูกโจมตี ทั้งที่พื้นฐานธุรกิจยังคงเหมือนเดิม แต่ราคาหุ้นกลับร่วงลงแรงจนทำให้ทั้งนักลงทุนรายย่อยสูญเสียความเชื่อมั่น เพราะไม่ว่าจะคัดเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดเมื่อซื้อหุ้นพื้นฐานดีที่ว่าแต่ก็ยังติดดอยอยู่ดี และแน่นอนว่า เมื่อรู้ว่าซื้อไปแล้วติดดอย...ใครจะอยากลงทุนในตลาดหุ้นอยู่อีกต่อไป 

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องของมาตรการกำกับดูแลที่ “อ่อนด้อย” ของผู้ควบคุมกติกาของตลาดหุ้นไทย ที่เน้นทำงานในเชิงรับมากกว่ารุก จนก่อให้เกิดปัญหาทั้งในเรื่องของ  STARK MORE SABUY หรืออีกหลายตัว ที่กว่าจะรับรู้ว่ามีปัญหาก็เกิดเรื่องไปนาน แล้วจนเกินจะแก้ไขอะไรได้ ทั้งนี้หากมีมาตรการป้องกันที่ดี เรื่องของการ “หลอกกินตับ” นักลงทุนในรูปแบบเช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ 

ท้ายที่สุด ความเชื่อมั่นของสถาบันการเงิน ไม่ว่าจะใน หรือต่างประเทศ ต่อมาตรฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย เนื่องจากผู้ดูแลกติกาไม่ว่าจะเป็น ก.ล.ต. ตลท. หรือ ธปท. ขาดมาตรการกำกับที่ดีพอ จนทำให้ขาดความยืดหยุดในการที่จะให้ความสนับสนุนทางการเงิน หรือ เวลา จนทำให้หุ้นหลายตัวซึ่งถูกบังบังคับขาย (Force Sell) ไม่สามารถจะหาเงิน หรือ หลักทรัพย์มาวางค้ำประกันได้ทัน จนเกิดความเสียหาย ทั้งทางเจ้าหนี้ และ ลูกหนี้ รวมถึงนักลงทุนจากการบังคับขายหุ้นในทุกราคา  

เจ๊เมาธ์ก็ได้แต่หวังเอาว่า เลือดใหม่อย่าง “อัสสเดช คงสิริ” ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนใหม่ รวมไปถึง "วิศิษฐ์ วิศิษฏ์สรอรรถ" ประธานบอร์ด ก.ล.ต. คนใหม่ จะสามารถทำให้อะไรที่ไม่ได้เรื่องมาหลายปี กลับมาดีขึ้น และหวังว่า “ยุดมืด” ที่อยู่มาถึง 8 ปี จะถึงยุคของ “ฟ้าหลังฝน” ที่ดีกว่าของตลาดหุ้นไทยได้สักทีเจ้าค่ะ