อัสสเดช คงสิริ...ความหวังของหมู่บ้าน!

19 มิ.ย. 2567 | 06:30 น.

อัสสเดช คงสิริ...ความหวังของหมู่บ้าน! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,002 วันที่ 20 - 22 มิถุนายน พ.ศ. 2567

*** แม้เจ๊เมาธ์ไม่แน่ใจ...แต่ก็แอบหวังว่าการที่ “อัสสเดช คงสิริ” ก้าวขึ้นมาเป็นกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 14 แทน “ภากร ปีตธวัชชัย” อาจจะเป็นสัญญาณว่า บอร์ดของตลาดฯ เริ่มมองเห็นว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง

โดยเริ่มต้นจากการยกเลิกระบบ “ลูกหม้อ” ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่มีกรอบแนวคิดแบบเก่า ซึ่งฝังรากของตลาดหุ้นไทยมานาน จนทำให้คนใหม่ๆ ซึ่งมีความคิดใหม่ๆ ขาดโอกาสที่จะเข้ามาพัฒนา จนเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นไทยมีแต่อาการ “ต่ำตม” ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

 

ปัจจุบัน “อัสสเดช” อายุ 53 ปี จบการศึกษาปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จากอังกฤษ และปริญญาโทบริหารธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา เคยเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ฟินันซ่า จำกัด เคยเป็น Head of Thailand ที่ Bank of America Merrill Lynch และเคยเป็น VP Investment Banking ที่ J.P. Morgan ประเทศไทย 

ก่อนที่ล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2565 ได้ทำงานในตำแหน่ง Lead Partner for Financial Advisory ใน “บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ ที่ปรึกษา จำกัด” ซึ่งเป็นคนละส่วนกับ “บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ สอบบัญชี จำกัด” อดีตผู้ตรวจสอบบัญชีของ STARK ซึ่งในขณะนั้น STRAK ได้มีการเปลี่ยนผู้ตรวจสอบบัญชีเป็น บริษัท ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ เอบีเอเอส จำกัด จึงช่วยแก้ข้อครหาการมีส่วนร่วมกับมหากาพย์ “โคตรโกง” ของ STRAK ลงไปได้

ด้วยประสบการณ์การทำงานถือว่าดูดี ซึ่งไม่ได้อยู่ในกรอบที่ถูกครอบด้วยวัฒธรรมขององค์กรเก่าแบบไทยๆ ทำให้เจ๊เมาธ์ก็แอบมีความหวังว่าในอนาคตตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้น ส่วนจะดีขึ้นเพราะภาวะเศรฐกิจและการเมืองที่มีเสถียรภาพ หรือดีขึ้นเพราะตลาดหุ้นเริ่มปรับปรุงโครงสร้างวิธีคิด ให้หลุดจากกรอบเดิมๆ ก็ถือว่า ดีทั้งนั้น เพราะอย่างน้อยความเปลี่ยนแปลงก็ได้เริ่มเกิดขึ้นมาแล้ว หวังว่าความหวังของหมูบ้านอย่าง “อัสสเดช” จะไม่ทำให้เจ๊เมาธ์และนักลงทุนรายย่อยต้องผิดหวังนะคะ

*** เป็นอย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกว่า การเลื่อนเวลาชำระเงินต้น และดอกเบี้ยหุ้นกู้ออกไปอีก 2 ปี จะกลายเป็นเทรนด์ยอดฮิตของตลาดหุ้นไทย ที่ไม่ต่างไปจากการติดเชื้อ “โรคเลื่อน” หลังจากก่อนหน้านี้ JKN ITD PROEN และ GLOCON เคยทำมาแล้ว 

ล่าสุดก็ถึงรอบของ บริษัท เอเซีย พรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ APCS ที่ต้องมาติดเชื้อ “โรคเลื่อน” ไปกับเค้าด้วย เพียงแต่อาจมีรายละเอียดที่แตกต่างอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องที่ทาง APCS ได้ขอแก้ไขวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้รุ่น APCS246A (คิดเป็นเงินต้นที่ชำระคืนจำนวน 211,805,000 บาท) ออกไปอีก 2 ปี จากเดิม วันที่ 16 มิถุนายน 2567 เป็น วันที่ 16 มิถุนายน 2569 และได้แบ่งชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้บางส่วน ด้วยการลดมูลค่าที่ตราไว้ต่อหน่วยลงจำนวนรวมร้อยละ 55 ของมูลค่าเงินต้นหุ้นกู้ ณ วันออกหุ้นกู้ โดยแบ่งชำระเป็น 8 งวด  

ส่วนที่เหลือจำนวนรวมร้อยละ 45 ของมูลค่าหุ้นกู้ ณ วันออกหุ้นกู้ จะชำระในวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ใหม่ รวมถึงการเสนอปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มจาก 6% มาเป็น 7% ซึ่งดูจะมากกว่าบริษัทอื่นเท่านั้นเอง

แน่นอนว่า การเลื่อนเวลาชำระเงินต้น และดอกเบี้ยหุ้นกู้ออกไปอีก 2 ปี ไม่ได้เป็นผลดีกับใครเลย โดยในส่วนของผู้ถือหุ้นกู้ก็เหมือนถูกมัดมือชก เพราะไม่มีทางให้เลือกจนต้องเสียทั้งโอกาสและเวลา 

ขณะที่ในส่วนของบริษัท ก็จะต้องหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มและยังสูญเสียความน่าเชื่อถือ จนทำให้ต่อไปจากนี้การทำธุรกิจใดๆ ก็ดูจะมีปัญหายุ่งยากตามมาอีกหลายอย่าง

อย่างไรก็ตาม...เจ๊เมาธ์ยังเชื่อว่า การเลื่อนเวลาชำระเงินต้น และดอกเบี้ยหุ้นกู้จะยังไม่จบอยู่แค่นี้ และหากมีบริษัทได้เดินบนเส้นทางนี้อีก เจ๊เมาธ์ก็ไม่พลาด ที่จะเอามาเล่าให้แฟนๆ ของเจ๊ได้รับรู้อย่างแน่นอนค่ะ

ไหนๆ เจ๊เมาธ์ก็พูดถึงเรื่องปัญหาการเลื่อนเวลาชำระเงินต้นและดอกเบี้ยหุ้นกู้ ที่ทำให้บริษัทที่เลื่อนชำระต้องมาสูญเสียความน่าเชื่อถือ เจ๊ก็อยากต่อไปที่เรื่องของ “หุ้นเพิ่มทุน” ที่เริ่มจะขายไม่ออก เนื่องจากนักลงทุนเริ่มระแวงว่า บริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะไม่สามารถสร้างรายได้อย่างที่คุยเอาไว้อีกสักเรื่อง

เพราะเจ๊เมาธ์รับรู้มาว่าบริษัทอย่าง BYD WAVE EMC และ JKN คือ บริษัทที่ไม่สามารถที่จะขายหุ้นเพิ่มทุนได้ครบ ตามที่ต้องการ จนอาจมีปัญหาเนื่องจากปัญหาการขาดสภาพคล่องในวันนี้ และอาจมีปัญหาอื่นอีกมากตามมาในอนาคต 

ล่าสุด W เปิดเผยว่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 1,650 ล้านหุ้น ที่เสนอขายในราคาหุ้นละ 0.65 บาท ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน 10 ราย มีนักลงทุนเพียง 2 ราย ที่ยอมควักเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุน รวมจำนวน 31.50 ล้านหุ้น จนทำให้มีหุ้นเพิ่มทุนที่ยังเหลืออยู่อีกจำนวนถึง 1,618.50 ล้านหุ้นที่ยังรอการขาย ซึ่งก็น่าจะสร้างปัญหาให้กับ W ได้ไม่น้อย

ถึงวันนี้มีปัญหาการเลื่อนเวลาชำระเงินต้นและดอกเบี้ยหุ้นกู้ก็เกิดขึ้นแล้ว ปัญหาการขายหุ้นเพิ่มทุนก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีปัญหาอะไรตามมาอีกบ้างก็ยังไม่รู้ แต่ที่เจ๊รู้ตอนนี้ปัญหาบริษัทขาดสภาพคล่องที่เริ่มหนักมากขึ้นทุกวันส่งสัญญาณว่าท่าทางจะไม่ดีแล้วแน่นอนค่ะ