พระหมอ แห่งอารามน้ำใส

16 มี.ค. 2567 | 07:50 น.

พระหมอ แห่งอารามน้ำใส คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

คุณเปนคนไทยเชื้อจีนรึเปล่า? ถ้าใช่ บรรพชนฝ่ายจีนของคุณมาแต่ไหน?ที่ว่าแต้จิ๋วๆนั่น เปนเเค่อำเภอหนึ่งในมณฑลฮกเกี้ยน คนไม่ใช่แต้จิ๋วเหยียดว่า ไม่ใช่พวก สมัยนี้เขารังเกียจกันนักเรื่องเหยียดเรื่องแหย่ ใช้ว่า บูลลี่
 
สั่งสอนอบรมกันนักหนาว่าอย่าบูลลี่นะ อย่าเหยียดกันนะ_55 พวกครูผู้ดีเปนอย่างงั้น
 
ทว่าในความเปนจริงของสังเวียนชีวิต มันมีอะไรมากไปกว่าโลกเสมือน สายวิชาบางสายไม่มีสอนในโรงเรียน เราเรียนกันว่า วิชาทางทำ คือ มาจากการทำ_learning by Doing เมื่อออกไปเผชิญโลก จะไปห้ามปาก ห้ามสายตา ผู้คนไม่ศิวิไลซ์ไม่ให้มันเหยียดมันหยามอย่างไรได้? ห้ามไม่ได้หรอก ถ่อเอ๊ย!


 

มันต้องหัดเรียนรู้วิชาทางทำ ในการจับจังหวะ การสวน การเสียดแทง การ satire ให้อย่างเจ็บแสบและถึงกึ๋นให้ผู้เหยียดเขากลับไปนอนคิดสัก 3 วัน 7 วัน ค่อยขบออกว่า สถบว่า “อ่าว ไอ้...โดนเล่นสะแหล่ว” ดังนี้จึงสาสม เปนเปนผู้ดี/ผู้กล้าอย่างแท้จริงในยุทธจักร
 
อันนี้เขาเรียกการใช้ ปฏิภาณ WITS มันมีอารมณ์ขันเจือด้วยไหวพริบและปฏิภาณ ผู้ดีฝรั่งที่แท้เขานับถือกันที่นี่ ไม่ใช่การสงบเสงี่ยมไม่เหยียดไม่บูลลี่
 
อีทีนี้ถ้าคุณเปนฮกเกี้ยน บรรพชนแห่งคุณจะกราบไหว้และนับถือบูชาเทพยดาผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งบวชเปนพระจีนนิกายตั้งเยาว์ เฝ้าฝึกจิต และ อดทนเรียนรู้สรรพวิชาทางการแพทย์ จนเมื่อวันหนึ่งสำเร็จผลแล้ว ก็บรรลุธรรมอันเกษม ท่านมีร่างกายใหญ่โต ตัวดำผิวดำ กรามกว้าง ผิดจากจีนขาวทั่วไป

เราเรียกท่านว่า โจวซือ หมายถึงบูรพาจารย์ แปลว่า เปนอาจารย์ของอาจารย์ของอาจารย์ๆ อีกที
 
ท่านเหล่านี้เมื่อบรรลุข้อธรรมแล้ว ดวงจิตกล้าเเข็งยังคงออกโปรดสัตว์เปนการทั่วไปในจักรวาล อย่างที่บทสวดไทยว่า สมันตา จักรวาเฬสุ-ท่องไปในจักรวาฬ
 
ครั้งหนึ่งสมัยรัชกาลที่ 3 รูปจำลองของท่านลอยมาตามน้ำ แขกปัตตานีล่องเรือหาปลาอยู่ คิดว่าเปนขอนไม้จึงใช้ตะขอเหล็กจิกดึงขึ้นมาบนเรือหมายจะทำฟืน พลันที่ตะขอแหลมจิกลงยังกระหม่อมรูปเหมือนท่านนั่นก็บังเกิดสายโลหิตพลุ่งออกมา แขกหาปลาตกใจมากจนจิตหลุด ท่านได้บังคับร่างคนหาปลานั้นให้พายเรือเข้าฝั่ง จนมีผู้คนแถวนั้นรับรูปเคารพของท่านไปรักษาไว้ในที่เหมาะสม
 
เวลานั้นเจ้าเมืองปัตตานีกำลังเจ็บไข้ ท่านปรมาจารย์ได้สำแดงปาฏิหาริย์ลงทรงบอกยาแก้ไข เจ้าเมืองทำตามแล้วหายป่วย จึงสร้างศาลประดิษฐานท่านให้นามว่า ‘เล่งจูเกียง’
 
ผู้คนถามว่าท่านเปนใคร จึงได้ความรู้มาว่าท่านเปนพระหมอมาจากฮกเกี้ยน ผู้คนศรัทธาสร้างอารามถวายที่ธารน้ำใสซึ่งเปนที่อันท่านบรรลุข้อธรรม ปวงเขาเรียกท่านอ้อมๆว่า เชงสุ่ย_โจวซือ ท่านบูรพาจารย์แห่งอารามน้ำใส(เช็ง/สุ่ย)
 
ทุกปีจากนั้นจะอันเชิญท่านขึ้นเกี้ยว ลุยไฟ แล้วแห่ไปรอบเมือง ให้ท่านอำนวยพร องคมนตรีสองรัชกาลก็เคยเปนคนหามเกี้ยวก่อนจะได้วาสนาองคมนตรี รัฐมนตรีมหาดไทยสมัยหนึ่งก็เคยหาม


 
ช่วงโควิดปีที่หนึ่งนั้นท่านได้แสดงปาฏิหาริย์บางประการแก่ตัว กล่าวคือวันนั้นปวดฟันกรามอย่างมาก ก็ให้เกิดคำสั่งจากศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินสั่งปิดสถานที่ทันตกรรมทุกแห่งทั่วประเทศ เนื่องจากจะเปนสถานแพร่กระจายเชื้อโควิด คำสั่งว่าให้ปิดในเวลา 16:00 น.
 
ได้ออกแสวงหาร้านทำฟันแต่เช้า แต่ทุกที่ได้รับคำสั่งก็เตรียมปิดกิจการไม่ยอมรับคนไข้ใหม่ ปวดฟันก็ปวดรถขับก็ลำบาก บากบั่นตามหามาถึงห้าแห่งก็มิได้รับความช่วยเหลือ เหมือนถูกปิดประตูใส่หน้า นาทีนั้นจึงยกมือขึ้นท่วมหัวรำลึกถึงบูรพาจารย์ขออำนาจสัจจะเดชะกุศลต้นทุนบารมีที่เคยทำเป็นพลวัตปัจจัยให้ได้พบแพทย์รักษาฝ่าด่านโควิด
 
ถึงเวลาบ่ายแล้วจึงเลี้ยวเข้าไปที่โรงพยาบาลฟันมีชื่อ ได้รับความอนุเคราะห์ จากเจ้าของโรงพยาบาลท่านลงมาดูให้ เนื่องจากเคสอื่นทันตแพทย์ทุกท่านกำลังเตรียมปิดเคส ส่งลูกค้าออกตามคำสั่งของรัฐบาล ในความงุนงงสงสัยถึงเมตตาธรรมของท่านเจ้าของโรงพยาบาลนั้น ฉับพลันท่านก็ส่งต่อให้คุณหมอหนุ่มซึ่งเป็นศัลยแพทย์ผ่าฟัน มาดูกรณี ทำการประคับประคองความเจ็บปวดไปได้ตามคำสั่ง ศอฉ. และนัดหมายมาแก้ไขผ่าตัดใหญ่หลังประกาศคลี่คลายปลดล็อก ขอบอกขอบใจในน้ำใจของทันตแพทย์ทั้งสองท่านแล้ว จึงขอทราบชื่อท่านผู้จะผ่าตัดให้ ท่านควักนามบัตรออกมาให้ เมื่ออ่านชื่อนามสกุลแล้วจึงพลั้งปากถามท่านไปว่า คุณหมอเป็นทายาทเจ้าเมืองปัตตานีนี่นา หมอหนุ่มหันขวับแสดงท่าทีแปลกใจ พราะเมืองปัตตานีนี้ไซร้ฝ่ายเจ้าเมืองไม่ได้ใช้นามสกุลมี ณ เหมือนจังหวัดอื่น กราบเรียนอรรถาธิบายถึงเหตุบังเอิญที่เหมือนไม่ใช่บังเอิญแก่ทั้งสองท่านแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ชื่นใจในมิตรภาพอันควรจะมีกำลังลึกลับนำมา
 
ครั้นดำเนินการทุกอย่างครบถ้วนผ่อนคลายหายเจ็บหายป่วยแล้วก็คิดว่าได้เวลาต้องล่องใต้ไปสักการะท่านบูรพาจารย์แห่งอารามน้ำใสที่เมืองปัตตานีอย่างผู้ที่รู้สำนึกกตัญญุตา
 
เวลานั้นสายการบินต่างๆท่านให้หยุดทำการ การเดินทางบนถนนเป็นทางเดียวที่จะทำให้ภารกิจนี้บรรลุได้


 
อันว่าการเดินทางอย่างว่า on the road นั้นมันมีหลายสไตล์ จะบุกจะลุยจะกะทัดรัดอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ให้นึกถึงว่าในเยอรมนีมันมีทางหลวงออโต้บาห์น เลนกว้างยาวเหยียด ขับช้าไม่ได้_ผิดกฎหมาย การเดินทางระยะยาวแบบไปปัตตานีนี้ไปโดยโอ่อ่า และนวยนาด ดีที่สุด
 
Mercedes ปลาวาฬ S 140 เปนอย่างงั้น มันมีรุ่นตัวถังยาวและสั้น ทำมาแต่ยุคเอสคลาสตาตั้กแตน ช่วงยาวนั้นที่นั่งหลังยาวกว่าช่วงสั้น 1 คืบ ทำให้มี leg room นั่งสบาย ยืดเหยียดขาได้
 
รถเอสคลาสช่วงสั้น เขาไว้ขับคนเดียว มันคล่องตัว โอ่อ่าแต่ว่าคล่องแคล่ว แต่ถ้าว่าช่วงยาวแล้วมันกลับโอ่โถงแต่ว่านวยนาด แดดร่มลมตกจึงออกเดินทางล่องไป ตามถนนเพชรเกษม ท่าน บก.บห. แห่งฐานเศรษฐกิจก็กรุณาถามไถ่ ว่าไปคราวนี้ผลัดขับกี่มือ เรียนท่านไปว่าสามมือ ท่านก็ว่าโมทนา แต่ว่าจำเพาะตัวนั่นล่ะจะเปลี่ยนขับมือแรกเขาตอนไหน ก็พลั้งปากไปด้วยใจเลื่อนลอยว่าคงสัก ตีสาม
 
ในบางจังหวะเวลาของชีวิต แม้เงินสดๆจะอัดฟ่อนตุงกระเป๋า เราก็เอามันออกใช้ไม่ได้-มีเงินก็ไร้ค่าจังหวะเช่นว่านั้นก็คือ ยางใหม่ๆโดนเหล็กขอบถนนแตกตรงแก้มยาง ระหว่างย่านความเร็ว 120-140 กม. /ชม. ตรงไฮเวย์เพชรเกษม ช่วงสวี ชุมพร ตอน 02:58 น.!
 
เดชะว่าตื่นมารอผลัดขับพอดี จากที่นั่งเบาะหลังอันสะดวกสบาย first class รัดเข็มขัด!
 
จังหวะนั้นจะพล่านกดโทรศัพท์เรียกหาใคร ก็อย่าได้หวังว่าเขาจะช่วย มีเงินก็ใช้มิได้ ต้องรอเวลาให้พัดผ่านไป จำใจจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะกับการรอคอย ยิ้มได้เมื่อภัยมา เปนเรื่องจำเปนของคน โดยเฉพาะยามเมื่อมีเงินแต่ไร้ค่า ต้องมีวิชาในการรับมือ


 
กลางความมืดมิดของราตรีนั้น ยางแตกแล้วทำไรไม่ได้ ยางอะไหล่ไม่มีเพราะใส่ถังแก๊สใบโตแทนที่ไปเสียแล้ว มองไปเห็นดวงไฟสว่างเรืองๆอยู่ดวงนึง สัญชาตญานตามฝึกมา คิดว่าน่าจะไม่เกิน 400 เมตร ก็พาพวกหิ้วน้ำหอบผ้าผ่อนไปขอความช่วยเหลือพักพิง เดชะบุญว่าเปนป้อมตำรวจ!
 
เดชะบาปคือ มีแต่ป้อม ไม่มีตำรวจ!! ก็ต้องปัดหยากไย่ใยแมงมุม นั่งๆนอนๆร้องเพลงรอไป ตีสามครึ่ง ตีสี่ ตีห้า เริ่มมีบุรุษหน้าแปลกมาที่ป้อมนาโพธิ์ มันมาขอใบกระท่อมก้านแดงซึ่งใครไม่รู้เด็ดวางเรียงไว้สิบกว่าใบ _คนหน้าเสี้ยมผิวดำเมื่อมผอมเกร็งตาเยิ้ม บ่งนิสัยขี้ขอขี้ลักและขี้ยา!
 
ส่วนป้อมที่ว่านี้เปิดไฟหลวงทิ้งไว้อย่างเดียว ตำรวจเวรป้อม_ไปนอนบ้าน แหม่ มันน่าโทรไปร้องเรียกหา หมอปลากับพ่อหนุ่มกรรชัย!
 
ตีห้าครึ่ง เสียงพระสวดมนต์ลอยมา หัวรุ่งฟ้าเริ่มสาง จึงออกเดินสุ่มไปตามไฮเวย์ หาข้าวกิน เดินไปทางใต้เจอแต่อาคาร ร้านปิด
 
ย้อนกลับไปทางตะวันออก โดยความช่วยเหลือของภาพถ่ายดาวเทียม ก็เจอร้านโจ๊ก และกล้วยหวี ปักหลักกินรองท้องที่นี่ หกโมงเช้าพอดี ส่องดาวเทียมไม่เจอ 7-11 แต่ปากถามจึงเดินไปอีกสักอึดใจก็เจอ กินขนมล้างปากแล้วเดินย้อนมาปากทาง ปั๊มน้ำมันเปิดแล้วแต่ช่วยไรไม่ได้ นั่งป้อมและใช้ส้วมตำรวจ จน 7:30 ตำรวจยังไม่มา
 
ผู้คนผ่านไปมาแวะมาโค้ง ก่อนมาขอเข้าส้วม บางคนแวะมาถามทาง บางคนแวะมาถามคิวรถตู้ บางคนมาส่งนสพ. _คิดว่าผู้ประสบภัยหน้าตาขึงขังเปนตำรวจ!


 
แปดโมงพอดี ที่ร้านยางฟากตรงข้ามป้อมตำรวจถึงมาชักธงเปิดร้าน ที่นั่งรอก็ไม่มี ดีแต่ว่าถือติดมือมาด้วยซึ่งผ้าผวยผืนหนึ่ง ตามประสาคนเดินทาง ขาวม้าสักผืนมีประโยชน์ เช็ดตัวได้ ทำย่ามได้ บังแดดได้
 
วิ่งข้ามไฮเวย์ไปเจรจา ตกลงได้ซื้อยางขนาดสูสีมาเส้นหนึ่ง 225/60 กับ 205/60 ตัว 60 คือ % ความสูงเทียบตัวหน้ายาง คำนวนแล้วพอได้ย้ายไปใส่ล้อหลังขับเคลื่อน ล้อหน้ากินถนนสลับเปนขนาดเท่ากัน
 
รถเบนซ์มันช่วงล่างอิสระสี่ล้อ แต่ละล้อไม่ขึ้นแก่กันไม่เหมือนรถยี่ปุ่นซึ่งบางทีมีทอชั่นบีมคานคาดล้อ ล้อไม่เท่าก็วิ่งเอียง s class นี้มัน multi link พอจะถ่วงสมดุลเองได้เมื่อล้อไม่เท่ากัน
  
9:30 เสร็จการซ่อมยาง ก็เคลื่อนรถลงไชยา เหาะเหินเดินอากาศมาดีๆ ก็เจอด่าน เก็บค่าย่นเวลาไป 500 มากันทั้งสีกากีหญิงชายกระจายเต็มถนน เจ็บใจว่าตีสามเรียกหาล่ะไม่เคยมา แต่จะทำยังไงได้ ตอนนั้นมัน ศอฉ.! (ต่อตอน2)