ชีวิตที่ต้องเผชิญ สงครามโรค กับ สงครามโลก

02 มี.ค. 2565 | 07:30 น.
850

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน โดย...ประพันธุ์ คูณมี

เป็นเวลาเกือบสามปีแล้ว ที่ประชาชนทั่วโลกต้องเผชิญหน้ากับ วิกฤติจากโควิด-19 อันเป็นโรคระบาดร้ายแรงที่คุกคามชีวิตชาวโลก โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้นเมื่อใด


นับเวลาถึงวันที่ 1 มีนาคม 2565 มีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้นจากทั่วโลกทุกประเทศรวมกันแล้วถึง 436,956,081 ราย มีผู้เสียชีวิตถึง 5,974,898 ราย และโลกยังจะต้องบันทึก นับจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตไปเช่นนี้อีกในทุกๆวัน จนกว่า "สงครามโรค" จากโควิด-19 จะยุติและจบสิ้นลงเป็นโรคสามัญธรรมดา ซึ่งแม้โลกจะมีความเจริญในทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทางการการแพทย์ จะพัฒนาและทันสมัยแล้วเพียงใด แต่การเอาชนะโรคร้ายนี้ ก็มิได้ง่ายอย่างที่คิด มนุษย์ก็ยังไม่สามารถพิชิตมันลงได้ อย่างที่ประชาชนคาดหวังหรือที่ควรจะเป็น โควิด-19 ยังถือเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตมนุษย์อยู่อีกต่อไป

พร้อมๆ กับภัยคุกคามจากโรคร้ายดังกล่าว โลกใบนี้กับร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างน่ากลัว จากปัญหาวิกฤติทางการเมืองระหว่างประเทศรัสเซีย กับ ยูเครน ที่พัฒนาความขัดแย้งจนนำมาสู่สงครามและการสู้รบ อันมีสาเหตุมาจากการขยายอำนาจและอิทธิพลของสหรัฐอเมริกากับยุโรป ที่พยายามจะเข้าครอบงำยูเครน และนำประเทศยูเครนให้เข้าเป็นสมาชิกนาโต้ ที่เป็นการผิดข้อตกลงที่อเมริกา มหาอำนาจเคยตกลงกับรัสเซียไว้ เมื่อ 30 ปีก่อน 


ทำให้รัสเซียในยุคของประธานาธิบดีปูติน ไม่พอใจอย่างรุนแรงกับการเดินหน้าในเรื่องนี้ของ อเมริกา กับ ยุโรป เพราะรัสเซียมองว่า เป็นการคุกคามโดยตรงกับรัสเซีย หากยอมให้ยุโรป-อเมริกา ทำเช่นนั้น ก็เท่ากับยอมให้ยุโรป-อเมริกา มาตั้งกองทัพอยู่หน้าบ้านของรัสเซีย การยกกำลังทหารเข้าโจมตียูเครนของรัสเซีย จึงเป็นการตอบโต้อเมริกาและกลุ่มนาโต้ ซึ่งอาจเป็นชนวนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ หากอเมริกาและประเทศกลุ่มยุโรป ตัดสินใจส่งทหารเข้าร่วมรบช่วยยูเครน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่โลกทั้งโลกต้องติดตามและจับตามอง ว่าสถานการณ์รบระหว่าง รัสเซียกับ ยูเครน จะพัฒนาไปอย่างไร

หากสถานการณ์พัฒนาความขัดแย้ง และการสู้รบจนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 โลกทั้งโลกใบนี้ก็ต้องเผชิญทั้ง "สงครามโรค" และ "สงครามโลก" ของจริงไปพร้อมๆ กันอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ซึ่งอาจทำให้ชีวิตประชาชนประเทศต่างๆ อาจต้องล้มตายลงเป็นเบือเหมือนในอดีตที่ผ่านมา


จากประวัติศาสตร์ที่เคยบันทึกไว้ในวิกิพีเดีย "สงครามโลก" กับ "สงครามโรค" เคยเกิดขึ้นพร้อมๆ กันมาแล้ว ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่าง 28 กรกฎาคม ค.ศ.1914 - 11 พศจิกายน ค.ศ.1918 ซึ่งครั้งนั้นสงครามทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นประมาณ 22 ล้านคน เป็นทหาร 9 ล้านนาย เป็นพลเรือน 13 ล้านคน 


แต่ผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดครั้งใหญ่ ซึ่งมาพร้อมกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็คือมาจากการระบาดของไข้หวัดสเปนในปี ค.ศ.1918 ที่ทำให้ประชาชนทั่วโลกเสียชีวิตถึง 100 ล้านคน ถือเป็นสถิติสูงสุดที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคระบาด "สงครามโรค" ทำลายล้างชีวิตมนุษย์ยิ่งกว่า สงครามโลกด้วยซ้ำไป


แต่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี ค.ศ.1939-1945 ไม่ปรากฎว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้นมาพร้อมสงครามโลกแต่อย่างใด แต่ก็ทำให้ผู้คนเสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือน มากที่สุดถึง 85 ล้านคน สูงสุดในประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดสงคราม และเป็นที่มาของการเริ่มสู่ยุคสงครามนิวเคลียร์ อาวุธที่มีอันตรายร้ายแรง มีอานุภาพแห่งการทำลายล้างสูงสุดในปัจจุบัน


ความจริงของโลกในยุคปัจจุบัน ประชาชนทั่วโลกยังต้องเผชิญหน้ากับภยันตรายทั้งจาก "สงครามโรค" และกับ "สงครามโลก ครั้งที่ 3" ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไปพร้อมๆ กัน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ตราบใดที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ยังทำตัวเป็นเจ้าโลกเที่ยวยื่นมือเข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง กิจการภายในของประเทศต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกอย่างไม่ลดละ ไม่ว่ากิจการของประเทศยูเครน ที่มีประเทศและดินแดนติดกับรัสเซีย หรือกรณีของไต้หวัน ที่เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน รวมถึงหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้ และประเทศในตะวันออกกลาง เพราะต้นตอปัญหาของโลกทั้งหลาย ที่เป็นชนวนนำไปสู่สงครามทุกแห่งในโลกนี้ ล้วนมีอเมริกายื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้อง ชักใยอยู่ด้วยแทบทั้งสิ้น


ดังนั้น การที่มีคนจำนวนหนึ่งมักจะตั้งคำถามกับกองทัพเสมอๆ ว่า จะจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เตรียมกำลังรบไปทำไม จะเอาเงินภาษีของประชาชนไปจัดซื้ออาวุธเหล่านั้นไว้ทำไม กองทัพจะไปรบกับใคร สมัยนี้เขาเลิกรบกันแล้วนั้น เมื่อมาเจอกับสถานการณ์รบระหว่าง รัสเซีย กับ ยูเครน ที่กลุ่มนาโต้ มีอเมริกาเป็นหัวหอก ชักใยหนุนหลัง และเชื่อมโยงมาถึงเหตุการณ์ในภูมิภาคเอเชีย ที่อเมริกากำลังแสดงบทบาทเป็นพี่เบิ้มในการชักใยประเทศต่างๆ ให้ต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่ คนเหล่านั้นคงจะต้องสงวนปากสงวนคำได้แล้วกระมัง เพราะสงครามโลก หรือสงครามสมัยใหม่นั้น มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในทุกๆ ภูมิภาค ตราบใดที่โลกนี้ยังมีประเทศสหรัฐอเมริกา และมหาอำนาจอื่นๆ เดินหน้านโยบายทำตัวเป็นเจ้าโลก อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน


ถามว่า แล้วประเทศไทย จะรอดพ้นจากวิกฤติสงครามได้อย่างไร ทำอย่างไรเราจึงจะรอดพ้นจากวิกฤติ "สงครามโรค" และ "สงครามโลก" จึงขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศของไทย ที่จะต้องรักษาสมดุลย์แห่งอำนาจ ที่ประเทศของเราต้องอยู่ระหว่างขั้วมหาอำนาจต่างๆในภูมิภาคนี้ และในภูมิภาคของโลกให้ดี ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ การเอียงไปขั้วใดขั้วหนึ่งแบบสุดขั้ว เหมือนยูเครนก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้ว จึงได้แต่ภาวนาและหวังว่าประเทศไทย จะไม่ต้องเผขิญหน้ากับ "สงครามโลก" และ "สงครามโลกครั้งที่3" เหมือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ แค่รับมือกับโควิด-19 ประเทศไทยก็แทบจะไปไม่รอดอยู่แล้ว


มองโลก ประเมินประเทศของเราแล้ว คงต้องเชิญชวนพี่น้องมาร่วมกันภาวนา ให้ประเทศไทยของเรา บ้านเมืองของเรา รอดพ้นจากสงครามโรคและสงครามโลกกันเถอะครับ พี่น้อง เพราะสงครามใดๆ ล้วนแต่ทำร้าย ทำลายชีวิตผู้คน ทำให้แผ่นดินไร้ความสงบสุขทั้งสิ้น ไม่ว่าใครหรือผู้ใดเป็นคนก่อ โปรดอย่าดึงประเทศไทยให้ร่วมวงไพบูลย์ด้วยก็แล้วกัน ประชาชนทั่วโลกล้วนต้องการสันติภาพครับ