“ปีเสือ” ต้องเข้มแข็ง อยู่ร่วมกับโอมิครอน

02 ม.ค. 2565 | 07:00 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ม.ค. 2565 | 01:05 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย... ว.เชิงดอย

*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3745 ระหว่างวันที่ 2-5 ม.ค.2565 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ต่อประเทศชาติ …ลาทีปีฉลู 2564 ก้าวสู่ปีใหม่ 2565 ซึ่งตรงกับปีนักษัตรขาล หรือ "ปีเสือ" ขอให้เป็น “เสือทอง” ของแฟนๆ ฐานเศรษฐกิจทุกคน ขอให้เป็นปีที่ดี ไม่ว่าใครจะประกอบอาชีพอะไร ก็ขอให้ประสบความเร็จ เจริญรุ่งเรือง ที่สำคัญขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะ “ไวรัสร้ายโควิด-19” ไม่ว่าจะสายพันธุ์ “เดลต้า” หรือ “โอมิครอน” ขอให้ทุกคนเข้มแข็ง อดทน ปรับตัวเอาชนะมันไปให้ได้ 


*** สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ของประเทศไทย นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. รายงานข้อมูล ณ วันที่ 29 ธ.ค.2564 ว่า พบผู้ติดเชื้อในประเทศ 2,419 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 116 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 2,695 ราย หายป่วยสะสม 2,162,138 ราย (ตั้งแต่ปี 63) อยู่ระหว่างรักษาตัว 33,502 ราย เป็นผู้มีอาการหนัก 614 ราย ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 153 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตมีเพิ่ม 17 ศพ ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 21,647 ศพ ยอดผู้ป่วยสะสม 2,217,287 รายประเทศไทยคงอันดับที่ 24 ของโลก สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 จังหวัดมากสุด คือ กทม. 358 ราย รองลงมา ชลบุรี 191 ราย สมุทรปราการ 84 ราย อุบลราชธานี 73 ราย และ ขอนแก่น 68 ราย 

*** ไปอัพเดทสถานการณ์ “โอมิครอน” สำหรับประเทศไทยกันหน่อย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สรุปตัวเลข ณ วันที่ 29 ธ.ค.2564 ที่มีการพบในช่วง 11 วัน พบผู้ป่วยสะสมรวม 740 คน ใน 33 จังหวัด พบมากสุดคือ กทม. 277 คน รองลงมา กาฬสินธุ์ 121 คน ยกเว้นเพียงเขต 2 ใน 5 จังหวัดคือ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย โดยแต่ละจังหวัดพบผู้ติดเชื้อโอมิครอน ดังนี้ เชียงราย 1 คน, เชียงใหม่ 5 คน, ลำปาง 1 คน, ลำพูน 4 คน, พิจิตร 1 คน, นนทบุรี 22 คน, พระนครศรีอยุธยา 2 คน, นครปฐม 1 คน, ประจวบคีรีขันธ์ 3 คน, ชลบุรี 18 คน, สมุทรปราการ 37 คน, สระแก้ว 1 คน, กาฬสินธุ์ 121 คน, ขอนแก่น 12 คน, มหาสารคาม 42 คน, ร้อยเอ็ด 50 คน, เลย 2 คน, หนองคาย 4 คน, หนองบัวลำภู 1 คน, อุดรธานี 3 คน, ชัยภูมิ 1 คน, นครราชสีมา 2 คน, บุรีรัมย์ 1 คน, สุรินทร์ 3 คน, มุกดาหาร 1 คน, ยโสธร 1 คน, อุบลราชธานี 4 คน, กระบี่ 3 คน, ภูเก็ต 92 คน, สุราษฎร์ธานี 19 คน, ปัตตานี 4 คน, สงขลา 1 คน, และ กรุงเทพมหานคร 277 คน


*** แม้ “โอมิครอน” จะพบการติดเชื้อในหลายจังหวัด แต่ก็ไม่ต้อง “ตื่นตระหนก” เพราะ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า หากหากทุกคนปฏิบัติตามมาตรการ ทั้งการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา และฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้มากกว่าปกติ โดยเฉพาะการกระตุ้นเข็มที่ 3 ก็จะสามารถควบคุมการระบาดภายในประเทศได้ดี ผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับที่สามารถดูแลได้ และเพื่อไม่ให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากตามฉากทัศน์ที่แย่ที่สุด ในช่วงปีใหม่นี้ขอให้ประชาชนเข้มมาตรการป้องกันตนเองสูงสุด ทั้งสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง หากจำเป็นต้องไปร่วมงานที่มีคนจำนวนมาก หรือจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ให้เลี่ยงสถานที่ที่เป็นห้องปรับอากาศระบบปิด การหมุนเวียนอากาศไม่ดี เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่โรค รวมถึงไปฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้น เพื่อเพิ่มภูมิต้านโรค โดยเฉพาะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง

+++ จากสถานการณ์โควิด-19 ไปดูแนวโน้มและทิศทางด้านเศรษฐกิจของไทย ในปี 2565 กันหน่อย “สำนักวิจัยกรุงศรี” ธนาคากรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) คาดว่า เศรษฐกิจยังจะได้แรงส่งจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและการตรึงดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีหน้า และจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่บรรเทาลง จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทยอยปรับลดลง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถจัดกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น ประกอบกับมาตรการที่ภาครัฐจะทยอยออกเพิ่มเติม นับเป็นแรงส่งสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปถึงต้นปีหน้า ท่ามกลางความเสี่ยงจากสถานการณ์การระบาดจากไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอนที่ยังมีความไม่แน่นอน 


*** ล่าสุดหลายสถาบันชั้นนำของโลกยังคงประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2565 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น อาทิ ธนาคารโลกคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.9% และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) คาดไว้ที่ 4.0%  ด้านวิจัยกรุงศรีคาดการณ์เศรษฐกิจในปีหน้ามีแนวโน้มเติบโตที่ 3.7% จากขยายตัว 1.2% ในปีนี้ แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญมาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ  ได้แก่ ความคืบหน้าของการกระจายวัคซีนที่ช่วยหนุนให้ไทยและหลายๆ ประเทศสามารถเปิดประเทศได้กว้างขวางขึ้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและผลเชิงบวกจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่จะส่งผลดีต่อภาคส่งออกของไทยและหนุนให้เกิดวัฏจักรการลงทุนรอบใหม่ รวมถึงมาตรการจากภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ขณะที่ภาคท่องเที่ยวมีทิศทางปรับดีขึ้นแต่ยังคงเป็นระยะแรกของการฟื้นตัวและอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะคืนกลับสู่ระดับก่อนเกิดการระบาด แต่ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงและประเด็นท้าทายที่อาจกดดันการฟื้นตัว อาทิ ความไม่แน่นอนของการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากการกลายพันธุ์และผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน  


*** ไปปิดท้ายกันที่ผลิตภัณฑ์สมุนไพรชื่อดัง P80 ของ คุณประยุทธ มหากิจศิริ ประเทศไทยเราโชคดีหลายอย่าง ได้ของขวัญและได้รับความคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายหลายประการ ดูอย่างต้นกำเนิดลำไยก็มาจากประเทศจีน จนคนจีนโบราณเชื่อว่า ลำไยเป็นผลไม้ทิพย์จากสวรรค์ กินแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เมื่อบรรพบุรุษของเราได้นำลำไยมาปลูกในประเทศไทย ปรากฏว่าต้นลำไยชอบดินฟ้าอากาศในประเทศไทย จึง ปลูกง่าย โตเร็ว ให้ผลผลิตคุณภาพเป็นเลิศ และมีปริมาณมาก จนทำให้คนไทยเคยชิน เห็นลำไยเป็นผลไม้ธรรมดา แต่ที่จริงแล้ว ลำไยมีคุณประโยชน์มากมาย มีเรื่องบอกต่อกันมาว่าในอดีต “ฮ่องเต้” ต้องมีลำไยเสวยเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ และสุขภาพแข็งแรง


*** แปลกแต่จริงที่ต้นลำไยชอบขึ้นที่ประเทศไทยเรามากกว่า มีมากจนคนไทยไม่ค่อยเห็นคุณค่า คุณประยุทธ์ มหากิจศิริ เป็นคนชอบทานลำไยเป็นประจำ และเห็นถึงคุณค่า จึงได้ศึกษาและส่งเสริมให้มีการวิเคราะห์และศึกษาค้นคว้าวิจัยถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของผลไม้ตัวนี้ ปรากฏว่าลำไยมีสาร 5 ไบโอแอกทีฟ ชึ่งเป็นสารหายากและมีประโยชน์ต่อร่างกายจริง ทำให้ป้องกันไวรัสต่างๆ ได้ คุณประยุทธ มีความเชื่อว่า ในเมื่อประเทศเกาหลีมีโสม จีน มีถั่งเฉ่าเป็นที่เลื่องลือนั้น แท้จริงประเทศไทยเราก็มี “ลำไย” ที่มีสรรพคุณไม่แพ้โสม ของเกาหลี และถั่งเฉ่าของจีนเลย เพราะลำไยเราได้รับการรับรองคุณภาพจากสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลก คือ ADSI จากประเทศออสเตรียรับรองคุณภาพ และยังได้รับการรับรองโดยองค์การอาหารและยา (อย.ไทย) ให้เป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณรายแรกของประเทศ …ถือเป็นข่าวดีและเป็นของขวัญสำหรับคนไทยในช่วงปีใหม่ ที่จะมีโอกาสได้กินลำไยในรูปแบบเครื่องดื่มที่มีประโยชน์อย่างสะดวก คือเครื่องดื่ม ลำไยซ่า (ลองก้า/Longa) ซึ่งเตรียมออกวางจำหน่ายที่ “ร้านสะดวกซื้อ” ทั่วไปในเร็วๆ นี้...