นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในต้นปี 2025 นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็กลับเข้าสู่โหมด "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) อีกครั้ง พร้อมมาตรการภาษีใหม่ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้า ทั้งแคนาดา เม็กซิโก จีน สหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศ โดยใช้เหตุผลด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการค้าเป็นตัวขับเคลื่อน ฐานเศรษฐกิจจะมาสรุปว่า ล่าสุดประเทศใดได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ 2.0 บ้าง และมาตรการใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตคืออะไร?
นอกจากภาษีที่บังคับใช้แล้ว ทรัมป์ยังมีแผนขยายมาตรการภาษีไปยังสินค้าหลายประเภท ได้แก่...
ในเดือนมีนาคม ทรัมป์ยังแสดงท่าทีว่าจะขยายมาตรการภาษีไปสู่สินค้าใหม่ โดยได้สั่งให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตรวจสอบว่าการนำเข้าไม้แปรรูปและทองแดงเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศหรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเก็บภาษีสินค้าเหล่านี้ในอนาคต
สิ่งที่น่าจับตามองคือมาตรการ "Reciprocal Tariff" หรือภาษีตอบโต้แบบสมมาตร ที่มีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน 2025 โดยทรัมป์เตรียมประกาศอัตราภาษีใหม่สำหรับแต่ละประเทศตามระดับภาษีที่ประเทศนั้นเรียกเก็บจากสหรัฐฯ
หากประเทศใดเก็บภาษีสูง สหรัฐฯ ก็จะเก็บภาษีตอบโต้ในระดับเดียวกัน ซึ่งหมายความว่า บางประเทศอาจต้องเผชิญภาษีที่สูงกว่าปัจจุบันอย่างมาก หากไม่มีข้อตกลงใหม่กับสหรัฐฯ
บรรดานักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า มาตรการภาษีรอบใหม่นี้อาจเพิ่มต้นทุนสินค้าทั่วโลก กระทบห่วงโซ่อุปทาน และทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวล โดยดัชนีหุ้นปรับตัวลงก่อนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม
อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่พยายามปรับตัวล่วงหน้า โดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้พบกับทรัมป์เมื่อต้นปี และทั้งสองฝ่ายตกลงจะเจรจาลดภาษีเพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทการค้า ขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่างอังกฤษและญี่ปุ่นก็กำลังพยายามหาทางออกผ่านข้อตกลงการค้าเสรี
การกลับมาของทรัมป์ทำให้แนวโน้มการค้าโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หลายประเทศต้องเผชิญกับภาษีที่เพิ่มขึ้น และอาจต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของตนเองเพื่อรับมือกับสหรัฐฯ
แม้ทรัมป์จะอ้างว่ามาตรการภาษีเหล่านี้จะช่วยปกป้องอุตสาหกรรมและแรงงานอเมริกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสงครามภาษีที่เกิดขึ้นกำลังกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง และอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กำหนดทิศทางของการค้าระหว่างประเทศในอนาคต
อ้างอิง: BBC, Whitehouse, Reuters, PIIE