รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ "แชร์เล่าข่าวเด็ด" ทาง FM100.5 อสมท. วันนี้ (28ก.พ.68) เวลา 17.00 น. ถึงผลกระทบหลังรัฐบาลไทยส่ง 40 ชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน โดยระบุว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบในหลายมิติต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก
ดร.ปณิธาน เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ได้ออกมาแสดงท่าทีไม่พอใจและได้แจ้งเตือนประชาชนของตนที่อยู่ในประเทศไทยเกี่ยวกับความมั่นคง
"ถ้าดูภาษาของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้จัดลำดับในรายงานการค้ามนุษย์ให้เราด้วย ดูเข้มข้นกว่าที่ควรจะเป็น เพราะมีการชี้แจงว่าเราได้คุยกับสหรัฐแล้ว เขาไม่รับชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ จริงๆ ถ้าไม่รับก็ไม่ควรออกมาประณามเราในระดับนี้ แต่ก็เข้าใจได้ว่าเขาอาจจะผิดหวังมาก" ดร.ปณิธานกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญยังเสริมว่า สหรัฐฯ อาจผิดหวังอย่างมากเพราะรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ให้การกับรัฐสภาสหรัฐฯ ว่าขอให้ไทยชะลอเรื่องนี้ และคาดว่าไทยจะรักษาหน้าสหรัฐฯ โดยพยายามชะลอการส่งตัวออกไป แต่ในที่สุดก็ไม่เป็นเช่นนั้น ทำให้ไทยต้องเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ มากขึ้น
ดร.ปณิธาน อธิบายถึงความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งมองว่าการส่งชาวอุยกูร์กลับเป็นการส่งกลับบ้านเกิดหลังจากผ่านไป 10 ปี และอาจมีการเปลี่ยนแปลงในประเทศจีนแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าหากส่งกลับแล้วชาวอุยกูร์จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาออกจากประเทศของตนมาตั้งแต่แรก
ดร.ปณิธาน ชี้ประเด็นสำคัญ 3 ข้อ ที่ควรทำความเข้าใจให้ตรงกัน
เกี่ยวกับประเด็นที่มีข้อมูลขัดแย้งกันว่ามีประเทศที่ 3 ติดต่อขอรับชาวอุยกูร์หรือไม่ ดร.ปณิธาน ระบุว่า "นี่เป็นจุดที่สำคัญที่สุด คือ หนึ่ง ความปลอดภัย สอง มีการร้องขออย่างเป็นทางการหรือไม่ ซึ่งในการร้องขออย่างเป็นทางการ ประเทศที่จะรับควรจะมีการพูดคุยในระดับสูงก่อนยื่นหนังสือ เพราะต้องมั่นใจว่าไทยจะตอบรับ ที่ผ่านมาอาจมีการส่งเจ้าหน้าที่มากดดัน แต่ไม่เคยมีการขออย่างเป็นทางการเท่าที่ทราบ"
พร้อมกับยกตัวอย่างกรณีเปรียบเทียบกับตุรกีที่เคยมีเหตุการณ์ชาวอุยกูร์บุกทำลายทรัพย์สินในสถานที่ของตุรกีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม หลังจากไทยส่งชาวอุยกูร์ 109 คนไปยังประเทศจีนในวันเดียวกัน ทำให้ความสัมพันธ์กับตุรกีลดระดับลงและไม่สามารถเจรจาส่งผู้ลี้ภัยที่เหลือไปได้
ส่วนกรณีมาเลเซียซึ่งใกล้ชิดกับไทย
ดร.ปณิธานระบุว่ายังไม่มีสัญญาณชัดเจน การพูดคุยเมื่อปลายปีที่แล้วไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้ แต่กลับมุ่งเน้นเรื่องความร่วมมือด้านอาหารฮาลาลในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีมูลค่าหลายแสนล้าน โดยไม่มีการพูดถึงการรับชาวอุยกูร์เพิ่มหรือไม่
ดร.ปณิธาน วิเคราะห์ผลกระทบของไทยในเวทีโลกว่า ไทยกำลังมีบทบาทในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจะต้องตอบคำถามในประเด็นนี้อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะกับโลกมุสลิมที่อาจไม่ออกมาแสดงท่าทีอย่างเป็นทางการและก้าวร้าว แต่เรารับรู้ได้ถึงความไม่พอใจ
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ ที่ควรจะต้องเจรจาต่อรองเรื่องกำแพงภาษีสินค้าและบริการกับไทย ก็ดูท่าทีไม่พอใจอย่างมาก ทำให้ไทยต้องทำงานหนักมากขึ้น รวมถึงพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่ออกมาแสดงท่าทีตามกัน ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น
"พวกเขาฉวยโอกาสตรงนี้ มันเป็นนโยบายทางการต่างประเทศของเขาอยู่แล้ว" ดร.ปณิธานกล่าว
ดร.ปณิธาน ยังชี้ให้เห็นถึงประเด็นเรื่อง "จดหมาย" ที่มีการเปิดเผยว่าชาวอุยกูร์ไม่ได้สมัครใจที่จะกลับจีน และกลัวจะถูกจับกุมหรือถูกฆ่าเมื่อกลับไป โดยระบุว่าพื้นฐานของกลุ่มอุยกูร์ประมาณ 350 คนที่มาจากมาเลเซียเมื่อปลายปี 2557 ส่วนใหญ่ต้องการลี้ภัยไปอยู่ประเทศที่ดีกว่าทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม จึงไม่อยากกลับไปแม้ว่าจีนในปัจจุบันจะพัฒนาไปไกลและเปิดกว้างมากขึ้น
"อาจจะต้องใช้แรงในการกดดัน การโน้มน้าว การรับประกัน ซึ่งฝ่ายความมั่นคงอาจรู้สึกละเอียดอ่อนและต้องการปิดไม่ให้ใครรับรู้มากนัก ไม่อยากให้เห็นภาพการยื้อยุดฉุดกระชากเอาขึ้นรถอย่างที่เคยเกิดขึ้น" ดร.ปณิธานกล่าว
พร้อมเสริมว่า "ถ้าบอกล่วงหน้า (ผู้สื่อข่าว) คงไปขวางรถตั้งแต่ตี 2 แน่นอน เหมือนกรณีชาวม้งที่เอาตัวไปผูกติดกับรถ ทำให้เกิดความอลหม่าน และผู้นำสหรัฐฯ ต้องโทรมาขอคนโน้นคนนี้"
อย่างไรก็ตาม ดร.ปณิธาน มองว่าในความเป็นจริงแล้ว หลักการใหม่คือไม่มีความลับมากนักในปัจจุบัน ควรเปิดเผยข้อมูลให้มากที่สุดในเรื่องความมั่นคงและบริหารจัดการให้ดีกว่านี้ คุยกับผู้เกี่ยวข้องให้เรียบร้อย และมีการรับประกัน หากพวกเขาสมัครใจก็ส่งกลับ แต่ถ้าไม่สมัครใจก็ควรให้อยู่บางส่วนเพื่อส่งไปยังประเทศที่ 3 เพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดีกว่า
ผู้เชี่ยวชาญระบุถึงประเด็นด้านมนุษยธรรมว่า การกักขังชาวอุยกูร์ในห้องกักของตม. เป็นเวลากว่า 10 ปี เป็นสภาพที่ทารุณมาก ทุกคนที่เข้าไปดูก็รู้ว่าไม่สบาย ขาดการออกกำลัง อาหารที่ถูกต้องตามหลักศาสนา กว่าจะได้รับก็ใช้เวลาหลายปี มีปัญหาเจ็บป่วย ห้องกักแออัดและมีการขยายพื้นที่อยู่ตลอด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง ในที่สุดบางคนก็หนีออกมากลายเป็นคดีความที่ยังไม่จบ และมีผู้เสียชีวิตในห้องกักด้วย
"ถ้าเขากลับไปอยู่ที่บ้านเขา อาจดีกว่าและปลอดภัยกว่า หากได้รับการรับประกันความปลอดภัย" ดร.ปณิธานกล่าว
เมื่อถามว่าใครได้ใครเสียหากปล่อยให้ 40 คนนี้อยู่ในไทยนานกว่านี้ ดร.ปณิธาน ตอบว่า "คนที่เสียประโยชน์ที่สุดคือตัวชาวอุยกูร์ 40 คนเอง สภาพไม่เอื้ออำนวยเลย อายุมากขึ้น ไม่ได้พบครอบครัว ทรมานมาก และสุขภาพอนามัยก็แย่ มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว และอาจมีมากขึ้น การออกมาจากสถานที่กักกันเขาจะได้ประโยชน์มากกว่า แต่ที่ดีที่สุดคือควรได้ไปอยู่ในประเทศที่เขาต้องการ"
ส่วนคนไทยโดยรวมก็ไม่ต้องรับภาระในการดูแลคนต่างชาติ ต่างด้าว ซึ่งมีตัวเลขค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข การรักษาพยาบาล และการศึกษาที่น่าตกใจ ถือเป็นสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับคนไทย แต่ฝ่ายความมั่นคงก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น ส่วนฝ่ายการเมืองอาจเสมอตัว เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แม้อาจเสียคะแนนจากการถูกตรวจสอบหากการดำเนินการไม่รัดกุม
ดร.ปณิธาน เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาว่า ประเทศไทยควรประกาศความชัดเจนเรื่องนโยบายการเข้าเมืองผิดกฎหมายอีกครั้ง พร้อมปรับปรุงโครงสร้างใหม่ จัดตั้งชุดทำงานพูดคุยกันอย่างเรียบร้อยระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จัดระบบบัญชีผู้ที่ต้องเฝ้าระวังให้ชัดเจน
นอกจากนี้ ยังควรเฝ้าระวังกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหมและสถานที่ต่างๆ ซึ่งยังมีผู้ต้องหาประมาณ 10 กว่าคนที่ยังจับกุมไม่ได้ รวมถึงติดตามคดีของผู้ต้องหา 2 คนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งศาลยังไม่ได้ตัดสิน
"ต้องตั้งหลักใหม่ เริ่มต้นด้วยการปรับปรุงระบบเข้าเมือง ซึ่งเป็นข้อเสนอที่อยู่บนโต๊ะของเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติมาหลายคนแล้ว ต้องจัดระบบทั้งระยะสั้นและระยะยาว แก้กฎหมาย ใช้ระบบสแกนที่ทันสมัย ไม่ใช่ให้หน่วยงานหนึ่งรู้แต่อีกหน่วยงานไม่รู้เรื่อง" ดร.ปณิธานกล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : FM100.5