ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง แม้ว่าสงครามการค้าจะเริ่มต้นในปี 2018 ด้วยการตั้งกำแพงภาษีระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ แต่สัญญาณของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อดูจะไม่มีทีท่าจะคลี่คลายลง นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อว่าสงครามนี้อาจดำเนินไปจนถึงปี 2030 หรือไกลกว่านั้น โดยมีผลกระทบอย่างมากต่อผู้บริโภค ผู้ผลิต และเศรษฐกิจโลกโดยรวม
บทเรียนจากประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่านโยบายการค้าเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทรงพลัง สถานการณ์ในปัจจุบันสะท้อนความคล้ายคลึงกับช่วงปี 1980 เมื่อประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ลดภาษีเพื่อเปิดตลาด แต่กลับสร้างแรงกระเพื่อมที่ส่งผลยาวนานถึงการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนในเวลาต่อมา นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ตั้งข้อสังเกตว่าสงครามการค้าในยุคนั้นคล้ายคลึงกับการเพิ่มภาษีในปี 2018 ซึ่งได้จุดชนวนให้เกิดการตอบโต้กันอย่างดุเดือด
สิ่งที่แตกต่างในครั้งนี้คือความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลกในศตวรรษที่ 21 ในปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 60% ซึ่งสูงกว่าภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ ที่อยู่ราว 12% อย่างมาก ผลกระทบอาจทำให้มูลค่าการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเคยอยู่ที่ประมาณ 500 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ลดลงถึง 85% ตามการวิเคราะห์ล่าสุด
ในขณะเดียวกัน ความคาดหวังที่ว่าการเพิ่มภาษีจะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวในยุคของทรัมป์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อโจ ไบเดนตัดสินใจรักษากำแพงภาษีไว้ ผู้บริโภคและผู้ผลิตจึงปรับเปลี่ยนการตัดสินใจในระยะยาว สถานการณ์นี้ก่อให้เกิดแรงเสียดทานที่กระจายตัวไปยังทุกมุมโลก
เมื่อสหรัฐฯ ลดการนำเข้าสินค้าจากจีน ประเทศต่างๆ เช่น ไต้หวัน มาเลเซีย และเวียดนาม ได้รับโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดโลกก็เพิ่มความตึงเครียดในประเทศที่พึ่งพิงสินค้าราคาถูกจากจีน เช่นในแอฟริกา ธนาคารพัฒนาแอฟริกาคาดการณ์ว่าการลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องอาจทำให้ GDP ของประเทศในแอฟริกาลดลงถึง 2.7%
สำหรับสหรัฐฯ กำแพงภาษีอาจดูเหมือนการปกป้องผู้ผลิตในประเทศ แต่กลับทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้า ผลการศึกษาจากสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ (NBER) ระบุว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นสงครามการค้าในปี 2018 รายได้จริงของผู้บริโภคสหรัฐฯ ลดลง 1.4 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภคและรายได้ของรัฐบาล
ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตจีนเองก็เผชิญกับความท้าทายเช่นกัน ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแสดงให้เห็นว่าอัตรากำไรของผู้ส่งออกจีนลดลงเฉลี่ย 0.35 จุด และการจ้างงานในภาคการผลิตลดลง 1.62% นอกจากนี้ ประมาณ 59.3% ของผู้ส่งออกจีนขาดช่องทางในการกระจายตลาดส่งออก ทำให้ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งเพิ่มความเปราะบางเมื่อถูกตั้งกำแพงภาษี
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม หลายฝ่ายมองว่าสงครามการค้าครั้งนี้คล้ายคลึงกับ "สงครามโลกครั้งที่สามในมิติทางเศรษฐกิจ" แม้จะไม่มีเสียงปืนหรือความสูญเสียทางกายภาพ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับเทียบได้กับสงครามที่แท้จริง ตลาดที่เคยเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่นกลับกลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยอุปสรรค
ในแง่ของภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้าสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอำนาจโลก การที่สหรัฐฯ และจีนต่างมุ่งปกป้องผลประโยชน์ของตนเองได้สร้างแรงสั่นสะเทือนที่ข้ามพรมแดน ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศอื่นๆ ต้องปรับตัวและเลือกข้างทางเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าจะมองไม่เห็นบทสรุปของสงครามครั้งนี้ในเร็ววัน แต่นักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่า การเจรจาและการปรับตัวเชิงนโยบายยังคงเป็นทางออกเดียวในการลดแรงเสียดทาน สำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบ การหาสมดุลระหว่างการพึ่งพาตลาดโลกและการปกป้องผลประโยชน์ในประเทศเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในระหว่างนี้ ผู้บริโภคและผู้ประกอบการทั่วโลกต้องรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นหรือความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทาน ในโลกที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสองประเทศนี้ แต่ยังกลายเป็นกระจกสะท้อนความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจโลกที่ต้องการการปฏิรูป
ท้ายที่สุด สงครามการค้าครั้งนี้สะท้อนให้โลกเห็นว่า ไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในเกมที่ขับเคลื่อนด้วยความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ แต่ผู้แพ้คือทุกคนที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากนโยบายที่เน้นการแข่งขันมากกว่าความร่วมมือ
อ้างอิง: