โลกระทึกมหาอำนาจนิวเคลียร์ หวั่นซ้ำรอย “วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา”

20 พ.ย. 2567 | 11:26 น.
อัปเดตล่าสุด :20 พ.ย. 2567 | 11:35 น.

การประกาศ “หลักการนิวเคลียร์ฉบับใหม่” ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน สร้างความกังวลทั่วโลก การเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจนิวเคลียร์ หวั่นซ้ำรอย “วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา” ดึงโลกเกือบจะเผชิญสงคราม

ในขณะที่โลกกำลังจับตามองความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกเกี่ยวกับสงครามในยูเครน การประกาศหลักการนิวเคลียร์ฉบับใหม่ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่ลดเงื่อนไขการใช้อาวุธนิวเคลียร์ลง กลับได้สร้างความกังวลอย่างกว้างขวางในประชาคมโลกเป็นอย่างมาก 

นักการทูตรัสเซียได้เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันว่า มีความคล้ายคลึงกับ “วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา” ในปี พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกเกือบจะเผชิญกับสงครามนิวเคลียร์

การย้อนกลับไปศึกษาวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากทั้งสองเหตุการณ์มีองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกัน ทั้งในแง่ของการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจนิวเคลียร์ การใช้ขีปนาวุธเป็นเครื่องมือในการต่อรอง และความเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง

 

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย

 

“วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา” ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามเย็น เมื่อโลกเข้าใกล้สงครามนิวเคลียร์มากที่สุด 

เหตุการณ์นี้เป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งมีลักษณะพิเศษทั้งในแง่ของการคำนวณทางยุทธศาสตร์ การสื่อสารระหว่างมหาอำนาจ และการตัดสินใจในระดับสูงสุดของรัฐบาลทั้งสองประเทศ

จุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์

วิกฤตการณ์นี้มีรากฐานมาจากหลายเหตุการณ์สำคัญ ทั้ง กรณีสหรัฐอเมริกาได้ติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางที่ฐานทัพในตุรกี ซึ่งคุกคามสหภาพโซเวียต ต่อด้วยการปฏิวัติในคิวบา โดยฟิเดล คาสโตร ในปี 2502 ที่โค่นล้มรัฐบาลที่สนับสนุนสหรัฐฯ รวมไปถึงความล้มเหลวของปฏิบัติการอ่าวหมูในเดือนเมษายน 2504 ซึ่งเป็นความพยายามของ CIA ในการโค่นล้มรัฐบาลคาสโตร

หลังจากความล้มเหลวที่อ่าวหมู นิกิตา ครุชชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียต รู้สึกคับข้องใจที่ไม่สามารถแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ ได้ จึงตัดสินใจเพิ่มการสนับสนุนทางทหารให้กับคิวบา

ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2505 ครุชชอฟ ได้บรรลุข้อตกลงลับกับคาสโตรในการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ของโซเวียตในคิวบา ซึ่งอยู่ห่างจากฟลอริดาเพียง 90 ไมล์ เมื่อฐานขีปนาวุธพร้อมใช้งาน จะสามารถโจมตีเมืองใหญ่เกือบทุกแห่งในแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ และแคนาดาได้

การค้นพบและการตอบสนองของสหรัฐฯ

ในวันที่ 14 ตุลาคม 2505 เครื่องบินสอดแนม U-2 ของสหรัฐฯ ภายใต้การควบคุมของเมเจอร์ริชาร์ด เอส. เฮย์เซอร์ ได้ถ่ายภาพที่แสดงให้เห็นการก่อสร้างฐานยิงขีปนาวุธในคิวบาอย่างชัดเจน เมื่อประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดีได้รับทราบข้อมูลนี้ เขาได้เรียกประชุมที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดทันทีเพื่อพิจารณาทางเลือกในการตอบโต้

หลังจากการพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ รวมถึงการโจมตีทางอากาศและการบุกยึดคิวบาตามที่คณะเสนาธิการทหารร่วมเสนอ เคนเนดีเลือกแนวทางสายกลางด้วยการสั่ง "กักกัน" ทางทะเลต่อคิวบา ในวันที่ 22 ตุลาคม 2505 โดยการใช้คำว่า "กักกัน" แทน "ปิดล้อม" มีความสำคัญทางกฎหมายเพราะการปิดล้อมถือเป็นการกระทำของสงคราม

 

โลกระทึกมหาอำนาจนิวเคลียร์ หวั่นซ้ำรอย “วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา”

 

การเผชิญหน้าและการเจรจา

คืนวันที่ 22 ตุลาคม 2505 เคนเนดีได้ออกอากาศทางโทรทัศน์ เพื่อแจ้งให้ประชาชนชาวอเมริกันทราบถึงสถานการณ์ และประกาศนโยบายที่จะถือว่าการยิงขีปนาวุธจากคิวบาไปยังประเทศใดในซีกโลกตะวันตกเป็นการโจมตีจากสหภาพโซเวียตต่อสหรัฐฯ โดย กองทัพสหรัฐฯ ได้ยกระดับสถานะความพร้อมรบเป็น DEFCON 3 และต่อมาเป็น DEFCON 2 ซึ่งหมายถึงสงครามใกล้จะเกิดขึ้น

การเจรจาระหว่างสองมหาอำนาจดำเนินไปอย่างตึงเครียด ครุชชอฟส่งข้อความถึงเคนเนดีหลายครั้ง ในขณะที่เรือโซเวียตบางลำมุ่งหน้าสู่คิวบา แม้จะมีการกักกัน สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นเมื่อเครื่องบิน U-2 ของสหรัฐฯ ถูกยิงตกเหนือคิวบาในวันที่ 27 ตุลาคม ทำให้นักบินเมเจอร์รูดอล์ฟ แอนเดอร์สัน จูเนียร์ เสียชีวิต

การคลี่คลายวิกฤตการณ์

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น เมื่อมีการเจรจาลับผ่านหลายช่องทาง รวมถึงการพบปะระหว่างอัยการสูงสุดโรเบิร์ต เคนเนดี กับเอกอัครราชทูตโซเวียตอนาโตลี โดบรินิน ในที่สุดได้มีการตกลงว่า โซเวียตจะถอนขีปนาวุธออกจากคิวบา โดยแลกกับคำมั่นของสหรัฐฯ ที่จะไม่รุกรานคิวบาและจะถอนขีปนาวุธจูปิเตอร์ออกจากตุรกีในภายหลัง

วันที่ 28 ตุลาคม ครุชชอฟ ประกาศต่อสาธารณะว่าจะถอนขีปนาวุธออกจากคิวบา แม้การกักกันจะดำเนินต่อไปจนกระทั่งโซเวียตตกลงถอนเครื่องบินทิ้งระเบิด IL-28 ออกจากคิวบาในวันที่ 20 พฤศจิกายน สหรัฐฯ ได้ถอนขีปนาวุธจูปิเตอร์ออกจากตุรกีในเดือนเมษายน 2506 ตามที่ตกลงไว้

ผลกระทบและบทเรียนที่เกิดขึ้น

วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาส่งผลกระทบสำคัญหลายประการ สรุปได้ดังนี้

  1. เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉิน โดยสามารถเปลี่ยนจากสถานะยามสงบเป็นการเตรียมพร้อมรบเต็มรูปแบบภายในหนึ่งสัปดาห์
  2. นำไปสู่การจัดตั้ง "สายด่วน" ระหว่างทำเนียบขาวและเครมลิน เพื่อป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาดในอนาคต
  3. ทำให้ทั้งสองมหาอำนาจเริ่มพิจารณาการแข่งขันอาวุธนิวเคลียร์ใหม่ นำไปสู่การเจรจาสนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์
  4. ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประธานาธิบดีเคนเนดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 

โลกระทึกมหาอำนาจนิวเคลียร์ หวั่นซ้ำรอย “วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา”

 

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันในแง่ของบทเรียนจากวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา เราสามารถเห็นความสำคัญของการทูตและการสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างมหาอำนาจ การที่รัสเซียประกาศหลักการนิวเคลียร์ใหม่ที่อาจตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธทั่วไปด้วยอาวุธนิวเคลียร์ สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างช่องทางการเจรจาที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่อาจนำไปสู่หายนะทางนิวเคลียร์

เช่นเดียวกับที่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบานำไปสู่การจัดตั้งสายด่วนระหว่างวอชิงตันและมอสโก วิกฤตการณ์ปัจจุบันอาจเป็นโอกาสในการพัฒนากลไกใหม่ ๆ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดและการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางนิวเคลียร์ 

ท้ายที่สุดประวัติศาสตร์ได้สอนเราว่า แม้ในยามที่ความขัดแย้งดูเหมือนจะไม่มีทางออก การทูตและการเจรจาที่ชาญฉลาดยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาสันติภาพของโลก