S&P หั่นเครดิตเรตติ้งอิสราเอล จากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นทางภูมิรัฐศาสตร์

19 เม.ย. 2567 | 12:33 น.
อัปเดตล่าสุด :19 เม.ย. 2567 | 12:49 น.

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทยอยลดเครดิตเรตติ้งของอิสราเอล ล่าสุด S&P Global หั่นเครดิตเรตติ้งอิสราเอลสู่ระดับ A+ จากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่พุ่งขึ้น ก่อนหน้านี้ "มูดี้ส์" นำแถวลดเรตติ้งอิสราเอลมาตั้งแต่ ก.พ. ขณะ "ฟิทช์" เตือน ภาวะสงครามเป็นความเสี่ยงสูง

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ปรับ ลดอันดับเครดิตเรตติ้ง ของ อิสราเอล ลงจาก AA- เป็น A+ เมื่อวันพฤหัสฯ (18 เม.ย.) หลังจากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับ อิหร่าน เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงอยู่แล้วสำหรับอิสราเอล

รายงานของ S&P Global ระบุว่า “เราคาดการณ์ว่า ภาวะงบประมาณขาดดุลโดยรวมของรัฐบาลอิสราเอลจะเพิ่มขึ้นเป็น 8% ของ GDP ในปี 2567 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของงบประมาณด้านกลาโหม”

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แนวโน้มเชิงลบดังกล่าวสะท้อนถึงความเสี่ยงที่สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน อาจทวีความรุนแรงหรือส่งผลต่อเศรษฐกิจของอิสราเอลมากกว่าที่เอสแอนด์พี โกลบอล คาดการณ์ไว้ในขณะนี้

“ปัจจุบันเรามองเห็นความเสี่ยงต่อการยกระดับทางทหารหลายประการ รวมถึงการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรงและยืดเยื้อกับอิหร่านในระดับที่มากขึ้น” รายงานของ S&P Global ระบุ

ทั้งนี้ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (13 เม.ย.) กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน เปิดเผยว่า พวกเขาได้ยิงโดรนและขีปนาวุธใส่อิสราเอลเป็นจำนวนมาก ซึ่งการโจมตีครั้งนี้อาจจุดชนวนความรุนแรงครั้งใหญ่ระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีสหรัฐอเมริกาให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนอิสราเอล แต่ก็พยายามชักจูงให้อิสราเอลระงับยับยั้งใจในการตอบโต้อิหร่านด้วยยุทธวิธีทางการทหาร

ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนเมษายน บริษัทจัดอันดับ ฟิทช์ (Fitch) ได้ถอดอิสราเอลออกจาก “รายชื่อเฝ้าระวังอันดับความน่าเชื่อถือ” (rating watch negative) และคงอันดับเครดิตเรตติ้งของอิสราเอลไว้ที่ A+ แต่ฟิทช์ระบุว่า สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซานั้น ถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง

ขณะที่ มูดี้ส์ (Moody’s) ได้ปรับลดเครดิตเรตติ้งของอิสราเอลลงในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากความเสี่ยงจากสงคราม ด้านนายเบซาเลล สโมตริช รัฐมนตรีคลังอิสราเอล กล่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าวไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ดี และเป็นการคาดการณ์ที่มองโลกในแง่ร้าย

 

ข้อมูลอ้างอิง