จีนพลิกตำราเศรษฐกิจตั้งเป้า GDP โต 5% เงินเฟ้อ 3% จ่อออกบอนด์ระยะยาวพิเศษ

05 มี.ค. 2567 | 14:38 น.
อัปเดตล่าสุด :05 มี.ค. 2567 | 16:14 น.

นายกฯ จีน กล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ที่เปิดฉากเช้าวันนี้ (5 มี.ค.) ระบุ จีนจะตั้งเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจที่ประมาณ 5% ในปีนี้ และเงินเฟ้อ 3% โดยรัฐบาลจะทำงานเพื่อพลิกโฉมรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เตรียมออกบอนด์ระยะยาวพิเศษรองรับ

 

นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน กล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC-National People's Congress) ที่เปิดฉากขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ (5 มี.ค.) ระบุว่า จีนจะตั้งเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจที่ประมาณ 5% ในปี 2567 นี้ และรัฐบาลจะทำงานเพื่อพลิกโฉมรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ควบคุมศักยภาพทางอุตสาหกรรมไม่ให้มากเกินไป ลดความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์ และลดการใช้จ่ายที่ไม่เป็นประโยชน์ของรัฐบาลท้องถิ่น

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เศรษฐกิจของจีนที่ฟื้นตัวช้าหลังผ่านพ้นช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา ทำให้ปัญหาความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างของจีนทวีความรุนแรงขึ้น ตั้งแต่การบริโภคภาคครัวเรือนที่อ่อนแอ ไปจนถึงผลตอบแทนการลงทุนที่ลดลงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องรูปแบบการพัฒนาใหม่ๆ

ทั้งนี้ วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาวะเงินฝืดที่รุนแรงขึ้น ความปั่นป่วนในตลาดหุ้น และหนี้สินรัฐบาลท้องถิ่นที่เพิ่มสูงขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยเพิ่มแรงกดดันต่อคณะผู้นำจีน ในการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องเหล่านี้

นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน

"เราไม่ควรมองข้ามสมมุติฐานขั้นเลวร้ายที่สุด และควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทุกความเสี่ยงและทุกปัญหา"

นายกฯหลี่กล่าว "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราต้องเดินหน้าผลักดันการพลิกโฉมรูปแบบการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างได้ ต้องพัฒนาด้านคุณภาพ และปรับปรุงประสิทธิภาพ"

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จีนตั้งเป้าจะดำเนินการ

ในส่วนของการกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ นายกฯ หลี่ เฉียง ระบุว่า บรรดาเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายได้พิจารณาถึงความจำเป็นในการกระตุ้นการจ้างงานและรายได้ ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามป้องกันและลดความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังกล่าวเสริมว่า จีนตั้งเป้าจะดำเนินจุดยืนทางการคลังในเชิงรุกและนโยบายการเงินอย่างรอบคอบ

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรี

จีนตั้งเป้าขาดดุลงบประมาณไว้ที่ 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สำหรับปี 2567 นี้ ซึ่งลดลงจาก 3.8% ของปีที่ผ่านมา แต่จีนวางแผนจะออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษที่มีอายุยาวนานพิเศษ (Ultra-Long) มูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (ราว 1.39 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อใช้สนับสนุนโครงการต่าง ๆ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งจะไม่ถูกรวมอยู่ในงบประมาณปีนี้

ส่วนโควตาการออกพันธบัตรพิเศษสำหรับรัฐบาลท้องถิ่นถูกกำหนดไว้ที่ 3.9 ล้านล้านหยวนในปีนี้ เทียบกับ 3.8 ล้านล้านหยวนในปี 2566

จีนยังตั้งเป้าเกี่ยวกับอัตราการว่างงานในเขตเมืองไว้ที่ประมาณ 5.5% พร้อมเป้าหมายสร้างงานใหม่ในเขตเมือง 12 ล้านอัตรา นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อ (วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น)ที่ประมาณ 3%   

ในรายงาน Government Work Report ที่นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรี แถลงต่อที่ประชุมฯ เช้าวันนี้ (5 มี.ค.) ยังมีการระบุถึงแผนการลดข้อจำกัดบางประการที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของต่างชาติในภาคการผลิตด้วย ทั้งนี้ การแถลงแผนงานและเป้าหมายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนต่อที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) นั้น เป็นไฮไลท์สำคัญของวันเปิดประชุมซึ่งปีนี้มีผู้แทนเข้าร่วมประชุมจำนวนมากกว่า 2,800 คน 

ปีที่ผานมา (2566) เศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวที่อัตรา 5.2% ซึ่งถือว่าใกล้เคียงและสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ประมาณ 5% แต่ก็ยังถือว่าเป็นการเติบโตที่ช้ากว่าความคาดหมาย เนื่องจากมีความซบเซาของภาคอสังหาฯและการส่งออกเป็นปัจจัยถ่วงรั้ง ปี 2566 ยังเป็นปีที่จีนมีอัตราการว่างงานในเขตเมืองใหญ่ที่อัตรา 5.2% และมีการสร้างงานใหม่ 12.44 ล้านอัตรา ขณะที่เงินเฟ้อโตขึ้นเพียง 0.2% ท่ามกลางอุปสงค์ที่แผ่วบาง ดังนั้นปีนี้ จีนจึงตั้งเป้าเงินเฟ้อไว้ที่ราวๆ 3% พร้อมย้ำว่า รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ลดความเสี่ยง และสร้างเสถียรภาพทางสังคม     

ด้านนายสุวิทย์ สรรพวิทยศิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) มองว่า การปรับเป้าเศรษฐกิจของจีนในครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนตำราการกำหนดเป้าหมายเศรษฐกิจที่จากเดิมยึดตำราสหรัฐที่กำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ 2% ปรับใหม่เป็นเงินเฟ้อต้อง 3% และจีดีพีต้องโต 5% ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์กำลังจับตาดูว่าหลังจากนี้จีนจะมี "บาซูกา" หรือปืนใหญ่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรออกมาหรือไม่