ไทย-อินเดีย เห็นพ้อง ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้า 35,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 3 ปี

28 ก.พ. 2567 | 09:17 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.พ. 2567 | 09:37 น.

ที่ประชุม JC ไทย-อินเดียล่าสุด เห็นพ้องตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้า 35,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2570 พร้อมเร่งขยายการใช้ประโยชน์จาก FTA อย่างเต็มที่ “ปานปรีย์” เผยอินเดียสนใจลงทุนในไทย รวมทั้งโครงการแลนด์บริดจ์ โดยขอศึกษารายละเอียดก่อน และรับพิจารณาให้ "ฟรีวีซ่า" คนไทย

 

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยหลังเป็นประธาน การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 10 ร่วมกับ ดร. สุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 ก.พ.) ระบุ ที่ประชุมยืนยันความมุ่งมั่นในการยกระดับ ความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย สู่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ภายในปีนี้และสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศ

พร้อมกันนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าไทย-อินเดีย เป็น 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปีพ.ศ.2570 นอกจากนี้ ไทยยังแจ้งความประสงค์เป็นประเทศผู้ขับเคลื่อนในสาขาระบบนิเวศทางทะเลร่วมกับออสเตรเลียในกรอบ Indo-Pacific Oceans Initiative (IPOI) ซึ่งอินเดียเป็นผู้ริเริ่มอีกด้วย

ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างไทย-อินเดียผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ โดยเฉพาะอาเซียนและบิมสเทค ทั้งยังได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมาตะวันออกกลาง และประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

การลงนามเอกสารผลลัพธ์การประชุม (Agreed Minutes) และเป็นสักขีพยานการแลกเปลี่ยน MOU ด้านอายุรเวทฯ

ภายหลังการประชุม รองนายกฯ ยังได้ร่วมลงนามเอกสารผลลัพธ์การประชุม (Agreed Minutes) และเป็นสักขีพยานการแลกเปลี่ยน MOU ด้านอายุรเวทฯ ระหว่างกรมการแพทย์แผนไทยฯกับสถาบันอายุรเวทแห่งชาติเมืองชัยปุระด้วย

“อินเดียมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก จึงเป็นตลาดที่ทุกประเทศให้ความสนใจ สำหรับการประชุมเจซี ไทย-อินเดีย ได้พูดคุยกันหลายเรื่อง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเศรษฐกิจ ทั้ง 2 ฝ่ายมุ่งแก้ปัญหาอุปสรรคที่มีผลต่อการค้าระหว่างกัน เพื่อให้สินค้าอินเดียเข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้น ขณะที่สินค้าไทยจะสามารถเข้าสู่ตลาดอินเดียได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน” นายปานปรีย์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อระหว่างการเยือนประเทศอินเดีย นอกจากนี้ ยังเปิดเผยว่า ในส่วนการเจรจาการค้าเสรี (FTA) ก็เป็นเรื่องสำคัญ โดย 20 ปีที่ผ่านมา มีสินค้า 82 รายการที่อยู่ในกรอบ FTAไทย-อินเดีย ซึ่งถือว่าน้อยมาก ดังนั้น ในครั้งนี้จึงมีการหารือกับ ดร.สุพรหมณยัม ชัยศังกระ รมว.ต่างประเทศอินเดีย ว่าจะปรับปรุงแก้ไขได้อย่างไร ซึ่งถ้าสามารถขยาย FTA ระหว่างกันเพิ่มได้ ปริมาณการค้าและการลงทุนก็จะเพิ่มตามไปด้วย

รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ ปานปรีย์ พหิทธานุกร และ ดร. สุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย

การประชุม JC ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 10

เชิญชวนอินเดียลงทุน "แลนด์บริดจ์" - ขอฟรีวีซ่าให้คนไทย

รองนายกฯ ยังกล่าวด้วยว่า รัฐบาลไทยยังสนใจที่จะส่งเสริมให้เอกชนเข้ามาลงทุนในอินเดีย อาทิ อุตสาหกรรมด้านยานยนต์ เทคโนโลยี พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานแสงอาทิตย์และไฮโดรเจนสีเขียว ในทางกลับกัน เราก็เชิญชวนให้อินเดียเข้ามาลงทุนในไทยด้วย เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ของไทยนั้น อินเดียมีความสนใจ แต่ขอศึกษารายละเอียดก่อน ซึ่งฝ่ายเราเสนอว่า โครงการนี้สามารถเชื่อมโยงกับอินเดียทางทะเล และส่งเสริมความร่วมมือ 7 ประเทศในกรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล (BIMSTEC) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งหากอินเดียให้ความสนใจอย่างจริงจัง ไทยจะส่งผลการศึกษาไปให้อินเดียพิจารณา

ขณะที่โครงการเชื่อมถนนไฮเวย์ 3 ฝ่ายนั้น อินเดียแจ้งว่าได้ดำเนินการเรื่องโครงสร้างพื้นฐานไปมากแล้ว ทั้งถนนสายต่างๆ ขณะที่ไทยแจ้งว่าได้ดำเนินการในฝั่งไทยแล้วเช่นกัน แต่ปัจจุบันยังติดขัดปัญหาเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ทำให้โครงการนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์

อีกประเด็นที่อาจจะเป็นข่าวดี คือได้มีการหารือกับรมว.ต่างประเทศอินเดียว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่อินเดียจะเปิด “ฟรีวีซ่า” ให้แก่คนไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนชาวไทยและอินเดียให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ซึ่งในส่วนของฝ่ายไทยนั้น ได้ประกาศให้ฟรีวีซ่าแก่คนอินเดียไปแล้ว เกี่ยวกับเรื่องนี้ รมว.ต่างประเทศอินเดียตอบว่า จะรับไว้พิจารณา ทั้งนี้ รองนายกฯปานปรีย์ระบุว่า ได้มอบหมายให้น.ส.ภัทรัตน์ หงษ์ทอง เอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ติดตามความคืบหน้าของเรื่องนี้ต่อไป

สุดท้าย ฝ่ายอินเดียยังตอบรับการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำระดับสูงด้วย ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมจะไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ รวมถึงเราได้เชิญนายกรัฐมนตรีอินเดียมาเยือนไทยด้วย แต่เนื่องจากอินเดียกำลังเข้าสู่การเลือกตั้งในเดือนพ.ค.นี้ จึงต้องรอให้ผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวก่อน จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้