สิ่งที่จะเกิดขึ้น หากสหรัฐ "ผิดชำระหนี้"ครั้งแรกในประวัติศาสตร์

17 พ.ค. 2566 | 12:28 น.
อัปเดตล่าสุด :17 พ.ค. 2566 | 12:59 น.
1.2 k

สหรัฐมี "ระเบิดเวลา" ในมือ เมื่อ"สภาคองเรส"ยังตกลงไม่ได้เรื่องขยายเพดานหนี้ ซึ่งแตะเพดานสูงสุด เกือบ 31.4 ล้านดอลลาร์ หากไม่ทัน และผิดชำระหนี้จะเป็น "ครั้งแรกในประวัติศาสตร์" และ "หายนะทางเศรษฐกิจ" เกิดขึ้นทั่วโลกแน่นอน

สหรัฐ ประสบปัญหาตัวเลขหนี้สาธารณะ “แตะเพดาน” ที่ 31.38 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อ 19 ม.ค.2566 ที่ผ่านมา "รัฐมนตรีคลังสหรัฐ" เคยเตือนว่า จะเกิด "หายนะทางเศรษฐกิจ" หากรัฐบาล ไม่เพิ่มเพดานหนี้ และต้องผิดนัดชำระหนี้  เพราะคลังจะมีเงินใช้จ่ายถึงแค่ต้นเดือน มิ.ย.นี้เท่านั้น 

ตลอดกว่า 200 ปีที่ผ่านมา สหรัฐไม่เคยค้างชำระหนี้เลย แต่ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สหรัฐมี "หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า" และยังมีการก่อหนี้เพิ่มเรื่อยๆ   ปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อ GDP ของสหรัฐ "สูงถึง 133 %" 

สภาผู้แทนราษฎรที่มี "พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก" มีท่าทีไม่ต้องการผ่านร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้อีก 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ นอกเสียจากว่า "รัฐบาลโจ ไบเดน" จะ “ตัดลดงบประมาณ” ในโครงการต่างๆ ไบเดนได้เสนอแนวทาง “ปรับเพิ่มรายได้” โดย “เพิ่มการจัดเก็บภาษี" จากบุคคลที่ร่ำรวยและบริษัทเอกชน แต่ดูเหมือนพรรครีพับลิกันจะไม่ชอบใจนัก

เมื่อวันอังคาร (16 พ.ค.)  การประชุมร่วมระหว่างไบเดน กับ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และแกนนำในสภาคองเกรสเพื่อหารือเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ "ยังไม่สามารถตกลงกันได้ "

หากสหรัฐไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้ทันเวลา ก็มีความเสี่ยงที่เงินจะหมดคลัง และ “ผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์”  และอาจก่อให้เกิดหายนะทั้งทางการเงินและเศรษฐกิจตามมา

การผิดชำระหนี้ คืออะไร

การผิดชำระหนี้ เกิดขึ้นเมื่อผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยที่จำเป็นให้แก่ผู้ให้กู้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 

“การผิดนัดที่เกิดขึ้นจริง” หรือ Actual default  เกิดจากกรณีรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ไม่สามารถชำระหนี้ในส่วนของตน เช่น หนี้พันธบัตรรัฐบาล  

ส่วน “การผิดนัดทางเทคนิค” หรือ  Technical default  ที่แม้รัฐบาลชำระพันธบัตรตามกำหนดเวลา แต่ยังไม่ชำระเงินสำหรับภาระหน้าที่อื่นๆ เช่น จ่ายเงินให้ผู้มีสิทธิประกันสังคมและพนักงานของรัฐ ซึ่งส่งผลเสียต่อชาวอเมริกันหลายล้านคนที่พึ่งพารายได้จากรัฐบาลสหรัฐฯ สิ่งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของการชำระหนี้ของรัฐบาล

ผลจากการผิดชำระหนี้ของสหรัฐ

ผลจากการที่สหรัฐผิดชำระหนี้ ไม่เพียงส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงแต่ในสหรัฐเท่านั้น แต่ยัง "ส่งผลกระทบไปทั่วโลก" ด้วย และแม้ว่าเราจะไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ที่แน่นอนได้ แต่จากการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญ นี่คือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 

1.ระบบการเงินทั่วโลกปั่นป่วน  เนื่องจากระบบการเงินโลกพึ่งพาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ การผิดนัดอาจนำไปสู่การ "สูญเสียความเชื่อมั่น" ในรัฐบาลสหรัฐ และความตื่นตระหนกในตลาดโลก และมีผลให้ "ราคาสินทรัพย์ลดลง" และการหยุดชะงักของการค้าระหว่างประเทศ 

2.เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย  นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า จะมีผลต่อการ "ตลาดแรงงานของสหรัฐ"  หากเป็นการผิดนัดทางเทคนิค จะเพิ่มการว่างงานจาก 3.4% เป็น 7% และการผิดนัดจริง จะเพิ่มจาก 3.4% เป็นกว่า 12% การว่างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ อาจนำไปสู่ "การลดการใช้จ่ายของผู้บริโภค" และภาวะเศรษฐกิจถดถอย

3.อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ย้อนไปในปี 2522  กระทรวงการคลังสหรัฐ มีความล่าช้าในการชำระพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 122 ล้านดอลลาร์ ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น พุ่งขึ้น 0.6 % หากสหรัฐผิดนัดจริง ต้นทุนการกู้ยืมจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจหยุดชะงักในที่สุด

4.การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์  การผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐ อาจทำให้ "ความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ลดลง" และผลักดันให้หลายประเทศ มองหาหาสินทรัพย์ทางเลือกอื่นที่น่าเชื่อถือมากกว่า สิ่งนี้จะลดความต้องการเงินดอลลาร์ ทำให้ "มูลค่าลดลง" เพิ่มต้นทุนการนำเข้าสินค้า และนำไปสู่ "อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น" ในที่สุด

5.อันดับเครดิตลดลง  หากสหรัฐผิดนัดชำระ หน่วยงานจัดอันดับเครดิตจะปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐ  ซึ่งจะทำให้ "การกู้ยืมในอนาคตแพงขึ้น" สำหรับรัฐบาลสหรัฐ ก่อนหน้านี้ สหรัฐเคยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือเป็นครั้งแรกในปี 2554 โดย Standard & Poor’s แม้ว่าจะไม่เคยเกิดการผิดนัดชำระหนี้

6.การทำงานของรัฐบาลบกพร่อง  การผิดนัดชำระหนี้ อาจบังคับให้รัฐบาล "ชะลอการจ่ายเงิน" ให้กับผู้รับประกันสังคม หรือพนักงานบริษัท ประชาชนชาวอเมริกันหลายล้านคนจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่แย่ลง มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ 

7.ผลเสียทางการเมือง จากที่คนอเมริกันจำนวนมากที่เคยเทคะแนนให้พรรครัฐบาลปัจจุบัน อย่างพรรคเดโมแครต อาจเทคะแนนไปอีกฟากทางการเมืองให้ "โดนัลด์ ทรัมป์" ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งในปี  2567 

ก่อนหน้านี้ในปี 2554 การงัดข้อระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครตเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ เคยทำให้ประเทศสหรัฐ "เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้" มาครั้งหนึ่งแล้ว และสหรัฐถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงมา

คงต้องรอติดตามภายในสุดสัปดาห์นี้ ว่าสภาคองเกรสสหรัฐ จะบรรลุข้อตกลงเพื่อฝ่าวิกฤตินี้ได้หรือไม่  เพราะนี่ถือเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกด้วยเช่นกัน