UN เตือน ธารน้ำแข็งโลกจะละลายหายไป 1  ใน 3 ภายในปี 2050

21 ธ.ค. 2565 | 17:00 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ธ.ค. 2565 | 00:24 น.

การศึกษาครั้งใหม่ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ให้ข้อสรุปว่า ด้วยอัตราการละลายในปัจจุบัน 1 ใน 3 ของธารน้ำแข็งที่สำคัญ ๆ ของโลกจะละลายหายไปภายในปี 2050

ผลการศึกษาเกี่ยวกับ ธารน้ำแข็งหลักๆของโลก ที่จัดทำขึ้นโดย องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ภายใต้ความร่วมมือกับสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) และมีการเผยแพร่ออกมาเมื่อเร็วๆนี้ และโดยการวิจัยนี้มุ่งศึกษาธารน้ำแข็งในแหล่งมรดกโลก 50 แห่งของ องค์การยูเนสโก

 

แหล่งมรดกโลกดังกล่าวเป็นที่ตั้งของธารน้ำแข็ง 18,600 แห่ง ครอบคลุมระยะทางประมาณ 66,000 กิโลเมตร และคิดเป็นอัตราส่วนเกือบ 10% ของธารน้ำแข็งบนโลก

 

นักวิจัยกล่าวว่า ธารน้ำแข็งตามแหล่งมรดกโลกเหล่านี้ได้ละลายหายไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปีค.ศ. 2000 เนื่องจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ทำให้อุณหภูมิโลกที่อุ่นขึ้น

 

นอกจากนี้ นักวิจัยยังมีรายงานว่า ปัจจุบันธารน้ำแข็งดังกล่าวสูญเสียน้ำแข็งปีละ 58,000 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่ประเทศฝรั่งเศสและสเปนใช้รวมกันในปีหนึ่ง ๆ ซึ่งมีส่วนที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 5% อีกด้วย
 

ธารน้ำแข็งตามแหล่งมรดกโลกเหล่านี้ได้ละลายหายไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปีค.ศ. 2000

 

ทั้งนี้ ธารน้ำแข็งในแหล่งมรดกโลกนั้น รวมไปถึงธารน้ำแข็งที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับยอดเขาเอเวอเรสต์ในเทือกเขาหิมาลัย ที่เขตพรมแดนของประเทศเนปาลและจีน นอกจากนี้ ยังมีธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดที่พบในอลาสกา และธารน้ำแข็งสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของแอฟริกา ซึ่งรวมถึงอุทยานแห่งชาติคิลิมันจาโรและภูเขาเคนยา

 

ส่วนธารน้ำแข็งในยุโรปและละตินอเมริกาก็ดูเหมือนว่ากำลังจะละลายหายไปด้วยเช่นกัน

 

รายงานการศึกษานี้มีข้อสรุปว่า

  • ธารน้ำแข็งในแหล่งมรดกโลกมีแนวโน้มที่จะละลายหายไปในอีก 28 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีความพยายามในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิก็ตาม
  • นักวิจัยกล่าวด้วยว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาธารน้ำแข็งในพื้นที่ 2 ใน 3 ที่เหลือไว้ได้ หากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นนั้น ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

ธารน้ำแข็งในแหล่งมรดกโลกมีแนวโน้มที่จะละลายหายไปในอีก 28 ปีข้างหน้า (ภาพจาก NASA)

  • นอกจากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงอย่างมากแล้ว ยูเนสโกยังสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศเพื่อการเฝ้าระวังและอนุรักษ์ธารน้ำแข็งอีกด้วย
  • โดยกองทุนดังกล่าวจะทำหน้าที่ให้การสนับสนุนงานวิจัยที่มีเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวาง และเป็นหน่วยงานส่งเสริมเครือข่ายการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด รวมทั้งทำหน้าที่ดำเนินมาตรการเตือนภัยล่วงหน้าและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติด้วย

 

รายงานของ UN ฉบับนี้ได้รับการเผยแพร่ออกมาเพียง 3 วันก่อนการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (COP27) ที่เมืองชาร์ม เอล-ชีค ประเทศอียิปต์ ซึ่ง ออเดรย์ อาซูเลย์ (Audrey Azoulay) ผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโกกล่าวว่า รายงานชิ้นนี้เป็นการเรียกร้องให้มีการดำเนินการในเรื่องนี้ และเธอได้ทวีตข้อความออกมาว่า

 

มีเพียงการลดระดับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างรวดเร็วเท่านั้นที่จะสามารถช่วยธารน้ำแข็ง และความหลากหลายทางชีวภาพอันแสนพิเศษซึ่งต้องพึ่งพาธารน้ำแข็งเหล่านั้น”