จีนสุดเจ๋ง ติดอันดับ "มหาวิทยาลัยดีที่สุดในโลก" แซงหน้าสหรัฐเป็นครั้งแรก

26 ต.ค. 2565 | 14:54 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ต.ค. 2565 | 22:54 น.
12.1 k

การจัดอันดับ "มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก" โดยนิตยสารยูเอสนิวส์ฯ ปีนี้ พบว่า มหาวิทยาลัยของจีนติดอันดับถึง 338 แห่ง นับเป็นครั้งแรกที่มีจำนวนแซงหน้ามหาวิทยาลัยสหรัฐที่เข้าอันดับ 280 แห่ง อีกทั้ง ม.ชิงหวา ยังถูกจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยดีที่สุดในโลกด้านงานวิจัย AI

 

เว็บไซต์ข่าวมาร์เก็ตวอทช์รายงานว่า รายงาน การจัดอันดับมหาวิทยาลัย ชั้นนำ 2,000 แห่งจากมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลกโดยนิตยสารยูเอสนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ต (U.S. News & World Report) พบว่า มี มหาวิทยาลัยของจีน ถึง 338 แห่งติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยของสหรัฐจำนวน 280 แห่ง โดยนับเป็นครั้งแรกที่จำนวนมหาวิทยาลัยของจีนติดอันดับดังกล่าวแซงหน้ามหาวิทยาลัยของสหรัฐ


การจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2565-2566 (The 2022-2023 Best Global Universities rankings) ที่เปิดเผยเมื่อวันอังคาร (25 ต.ค.) แสดงให้เห็นว่า จีนมีจำนวนมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกมากกว่าสหรัฐเป็นครั้งแรก โดยมหาวิทยาลัยของจีนและสหรัฐติดอันดับจำนวนมากที่สุด คือ 338 แห่ง และ 280 แห่ง ตามลำดับ

 

ตามด้วยญี่ปุ่น (105 แห่ง) สหราชอาณาจักร (92 แห่ง) และอินเดีย (81 แห่ง)


การจัดอันดับดังกล่าวนั้นเริ่มขึ้นในปี 2557 เนื่องจากมหาวิทยาลัยจำนวนมากขึ้นเริ่มแข่งขันกันในการแย่งชิงนักศึกษา ตลอดจนการลงทุนด้านคณาจารย์และการวิจัยด้วย โดยการจัดอันดับจะวัดจากปัจจัยต่างๆ จำนวนมาก รวมถึงชื่อเสียงด้านงานวิจัย การตีพิมพ์งานวิจัย การจัดประชุม และการถูกนำไปอ้างถึง แต่จะไม่รวมผลการเรียนของนักศึกษาและโปรแกรมการเรียนรายบุคคล

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของสหรัฐ ครองอันดับ 1 "มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก" ประจำปี 65-66

ผลการจัดอันดับแสดงให้เห็นว่า แม้จีนจะมีมหาวิทยาลัยติดอันดับมากกว่าสหรัฐ 58 แห่ง แต่มหาวิทยาลัยของสหรัฐส่วนใหญ่ยังคงติดอันดับบน รวมถึงการติด 10 อันดับแรก (Top10) ได้ถึง 8 แห่ง ได้แก่

  • มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (อันดับ 1)
  • สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (อันดับ 2)
  • มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (อันดับ 3)
  • มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย-เบิร์กลีย์ (อันดับ 4)
  • มหาวิทยาลัยวอชิงตัน-ซีแอตเทิล(อันดับ 6)
  • มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (อันดับ 7)
  • สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (อันดับ 9) 
  • มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ (อันดับ 10)

 

โดยใน 10 อันดับแรก มีมหาวิทยาลัยจากสหราชอาณาจักรติดอันดับ 2 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (อันดับ 5) และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (อันดับ 8)


ในการจัดอันดับดังกล่าวนั้นได้เพิ่ม 4 สาขาวิชาใหม่ ประกอบการพิจารณา ได้แก่

  1. ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  2. การศึกษาและการวิจัยทางการศึกษา
  3. อุตุนิยมวิทยาและบรรยากาศศาสตร์
  4. ทรัพยากรน้ำ

โดยนายโรเบิร์ต มอร์ส หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ข้อมูลของยูเอส นิวส์ เปิดเผยกับมาร์เก็ตวอทช์ว่า "สาขาวิชาดังกล่าวกำลังได้รับความสนใจอย่างมากในหลายระดับ"


ทั้งนี้ AI เป็นหนึ่งในไม่กี่สาขาที่ทั้งสหรัฐและจีนถือว่ามีความสำคัญทางด้านกลยุทธ์ระดับประเทศ โดยคณะทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้ลงนามในร่างกฎหมายการริเริ่ม AI แห่งชาติ (National AI Initiative Act) ให้เป็นกฎหมายในปี 2564 โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้สหรัฐขึ้นเป็นผู้นำโลกในด้านดังกล่าว


เมื่อปีที่ผ่านมา (2564) นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกล่าวในการประชุมสุดยอดเทคโนโลยีใหม่ระดับโลกว่า "มหาอำนาจของโลกกำลังแข่งกันพัฒนาและปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ และคอมพิวเตอร์ควอนตัม ที่สามารถกำหนดทุกอย่างในชีวิตของเรา ตั้งแต่เราจะหาพลังงานจากไหน เราจะทำงานของเราได้อย่างไร ไปจนถึงจะต่อสู้ในสงครามอย่างไร"


นายบลิงเกนยังกล่าวด้วยว่า "เราต้องการให้สหรัฐยังคงความได้เปรียบในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะมีความสำคัญต่อความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจของเราในศตวรรษที่ 21"

มหาวิทยาลัยชิงหวาของจีน ครองอันดับ 1 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดด้านการวิจัย AI

ทั้งนี้ ใน 10 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยด้าน AI นั้น มี 5 สถาบันมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ รวมถึง "มหาวิทยาลัยชิงหวา" ซึ่งครองอันดับ 1 ส่วนมหาวิทยาลัยด้านการวิจัย AI ที่ดีที่สุดของสหรัฐตกเป็นของ "มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน" ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 12


นอกจากนี้ จีนยังนำหน้าสหรัฐในสาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์อื่น ๆ รวมถึง นาโนศาสตร์ นาโนเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์พอลิเมอร์ วิศวกรรมศาสตร์ และเคมีเชิงฟิสิกส์


กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยว่า มีนักศึกษาจากจีนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของสหรัฐน้อยลงนับตั้งแต่เริ่มเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ย. 2565 มีชาวจีน 52,034 รายได้รับวีซ่า F-1 ลดลงจาก 95,518 รายในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 โดยวีซ่า F-1 จะออกให้กับนักศึกษาต่างชาติเพื่อศึกษาในระดับปริญญาหรือประกาศนียบัตร