สหรัฐเงินเฟ้อพุ่ง เฟดส่งสัญญาณยุติมาตรการ QE เร็วขึ้น

01 ธ.ค. 2564 | 06:18 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ธ.ค. 2564 | 13:42 น.

ประธานเฟดส่งสัญญาณแล้วว่า อาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลงอีกมากซึ่งจะทำให้เฟดยุติการทำ QE โดยสิ้นเชิงก่อนกำหนดเดิมที่เล็งไว้ช่วงกลางปีหน้า   หลังแรงกดดันจากเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น

นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาวานนี้ (30 พ.ย.) ว่า เฟดอาจปรับลดวงเงินใน โครงการซื้อพันธบัตร ตาม มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) มากกว่าเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฟดจะมีการหารือกันเรื่องนี้ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 14-15 ธ.ค.

 

สาเหตุเนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และแรงกดดันจากเงินเฟ้อได้เพิ่มสูงขึ้น นายพาวเวลล์ระบุว่า ถึงเวลาเหมาะสมแล้วที่เฟดจะพิจารณายุติโครงการซื้อพันธบัตรให้เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเดือน โดยจะมีการหารือกันในการประชุมครั้งต่อไปกลางเดือนธันวาคมนี้

เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา และเฟดจะปรับลดวงเงิน QE เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย. โดยเฟดจะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ และปรับลดวงเงินซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) เดือนละ 5,000 ล้านดอลลาร์

 

การลดวงเงิน QE ตามแผนดังกล่าวจะทำให้เฟดยุติการทำ QE โดยสิ้นเชิงในช่วงกลางปี 2565

 

ก่อนหน้านี้ เฟดได้ทำ QE เดือนละ 120,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ และซื้อตราสารหนี้ MBS ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ (อ่านเพิ่มเติมคำต่อคำแถลงการณ์ ประชุม"เฟด"เดือนพ.ย.64

 

ทั้งนี้ นายพาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ มีกำหนดกล่าวแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวันอังคาร (30 พ.ย.) เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 22.00 น.ตามเวลาไทย ก่อนที่จะกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ (1 ธ.ค.) 


ทั้งนายพาวเวลล์และนางเยลเลนมีกำหนดเข้ารายงานต่อสภาคองเกรสในทุกไตรมาส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งบังคับใช้ในเดือนมี.ค.2563 โดยรายงานดังกล่าวครอบคลุมถึงโครงการปล่อยเงินกู้ฉุกเฉินของเฟดด้วย

 

นายพาวเวลล์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 5% ในปีนี้ (2564) แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนได้สร้างความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยจะกระทบต่อการจ้างงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่สหรัฐจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดไว้


"เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์สถานการณ์เงินเฟ้อและผลกระทบด้านอุปทานว่าจะยืดเยื้อเพียงใด แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ก็คือเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นไปจนถึงปีหน้า นอกจากนี้ ตลาดแรงงานที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และค่าแรงที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนเงินเฟ้อให้สูงขึ้นเช่นกัน"

 

ประธานเฟดยังกล่าวด้วยว่า ความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสที่เพิ่มขึ้น และการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน จะทำให้ประชาชนไม่ต้องการกลับเข้าทำงาน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดแรงงานชะลอตัวลง และเพิ่มปัญหาชะงักงันในห่วงโซ่อุปทาน


ถ้อยแถลงของพาวเวลล์ระบุว่า ภาวะไร้สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานซึ่งมีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นผลมาจากราคาที่พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในบางรายการ โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ดีดตัวขึ้น 5% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายปี