CDC เผยข้อมูลใหม่ 74% ของผู้ติดเชื้อในแมสซาชูเสตส์ ฉีดวัคซีน mRNA ครบโดสแล้ว

02 ส.ค. 2564 | 02:10 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ส.ค. 2564 | 13:46 น.
3.1 k

CDC เผยรายงานน่าหวั่นใจที่ว่า ราว 3 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในมลรัฐแมสซาชูเสตส์ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันครบโดสแล้ว ซึ่งมีทั้งวัคซีนชนิด mRNA แบบที่ต้องฉีด 2 เข็ม และแบบเข็มเดียว

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) เปิดเผยข้อมูลใหม่ล่าสุดซึ่งเผยแพร่เมื่อสุดสัปดาห์ (30 ก.ค.) ระบุว่า ประมาณ 3 ใน 4 หรือราว 74% ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในมลรัฐแมสซาชูเสตส์ เป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันครบโดสแล้ว และในจำนวนนี้มี 4 รายที่อาการถึงขั้นต้องถูกส่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล  

 

ในรายงานประจำสัปดาห์ว่าด้วยอัตราการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของ CDC ยังมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ภายในโพรงจมูกของผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วแต่ยังติดเชื้อโควิดนั้น พวกเขามีปริมาณไวรัสที่ตรวจพบในโพรงจมูกมากพอ ๆกับไวรัสที่ตรวจพบในโพรงจมูกของผู้ติดเชื้อโควิดที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน และนั่นหมายความว่าผู้ฉีดวัคซีนแล้วที่ยังติดโควิดนั้น ก็ยังสามารถเป็นผู้แพร่กระจายเชื้อโรคดังกล่าวสู่ผู้อื่นได้ด้วย

 

CDC เผยข้อมูลใหม่ 74% ของผู้ติดเชื้อในแมสซาชูเสตส์ ฉีดวัคซีน mRNA ครบโดสแล้ว

รายงานชิ้นนี้จึงเป็นอีกหนึ่งหลักฐานการค้นพบที่ช่วยยืนยันข้อแนะนำของ CDC ที่ออกเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า แม้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วก็ยังสมควรสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เป้าหมายก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาแพร่ไวรัสโควิดสู่คนอื่น ๆโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งคนอื่นๆที่ว่านี้หมายรวมถึงบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขาที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือยังไม่มีภูมิต้านทาน

 

ข้อแนะนำของ CDC ที่ออกมาล่าสุด ระบุว่า ชาวอเมริกันที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดครบโดสแล้วและอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อสูง ยังควรสวมใส่หน้ากากอนามัยขณะอยู่ภายในอาคาร ข้อแนะนำนี้ครอบคลุมประชากรราว 2 ใน 3 ของสหรัฐอเมริกา

 

รายงานระบุเชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้า (Delta) ที่ขณะนี้แพร่กระจายไปในอย่างน้อย 132 ประเทศทั่วโลก และเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐเวลานี้ กำลังเป็นภัยคุกคามประชาชน และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน  

 

เนื่องจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ดังกล่าว สามารถแพร่ระบาดได้ง่าย และเร็วกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม (และยังติดต่อได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดสเปน ไข้ทรพิษ อีโบล่า เมอร์ส และซาร์ส)  จึงทำให้ผู้สูงวัยที่ติดเชื้อ มีอาการเจ็บป่วยได้มากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก็ตาม  

CDC เผยข้อมูลใหม่ 74% ของผู้ติดเชื้อในแมสซาชูเสตส์ ฉีดวัคซีน mRNA ครบโดสแล้ว

ในกรณีผลศึกษาการติดโควิดในมลรัฐแมสซาชูเสตส์ดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็นการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด 469 รายซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับงานกิจกรรมชุมนุมสังสรรค์ในช่วงฤดูร้อนหลายงานด้วยกันซึ่งจัดในเดือนก.ค. และราว 2 ใน 3 หรือ 74% ของผู้ที่ติดเชื้อโควิดนั้น เป็นผู้ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว โดยวัคซีนที่พวกเขาได้รับมา มีทั้งที่เป็นวัคซีนประเภท mRNA ที่ต้องฉีด 2 เข็ม และวัคซีนแบบฉีดเข็มเดียวของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน  

 

รายงานของ CDC ยังระบุด้วยว่า ในกรณีของผู้ที่ยังติดเชื้อโควิดหลังได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ซึ่งเรียกว่า ผู้ติดเชื้อประเภท Breakthrough Infection เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถเล็ดลอดการดักจับของวัคซีนไปได้  ในกรณีนี้ มีจำนวน 274 รายที่เป็นผู้ป่วยโควิดแบบแสดงอาการ โดยอาการที่พบมากที่สุดคือ ไอ ปวดหัว เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีไข้

 

นอกจากนี้ ในจำนวนผู้ป่วย 5 คนที่ถูกส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล มี 4 คนที่ได้รับวัคซีน mRNA ครบโดสแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต  

 

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐระบุว่า แม้วัคซีนจะยังไม่สามารถต้านทานไวรัสสายพันธุ์เดลต้าได้ทั้งหมด แต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยโควิดมีอาการรุนแรงหรือถึงตาย ซึ่งสอดคล้องกับสถิติในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาของสหรัฐ ที่ชี้ว่า ประมาณ 97% ของผู้ป่วยโควิดรายใหม่ที่ถูกส่งเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และ 99.5% ของผู้เสียชีวิตจากโควิด คือผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน