“ชาติพัฒนากล้า”ประกาศพร้อมทำงานทันทีเพื่อรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ

30 มี.ค. 2566 | 17:07 น.
อัปเดตล่าสุด :30 มี.ค. 2566 | 17:16 น.

“ชาติพัฒนากล้า”ชี้ประเทศเผชิญวิกฤต พรรคการเมืองที่เข้ามาบริหาร ต้องเก่งเศรษฐกิจ ลั่น ชพก.พร้อมทำงานทันที รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ สู่เม็ดเงิน 5 ล้านล้าน กระจายอำนาจสู่ภูมิภาค ลดเหลื่อมล้ำ ช่วยคนพื้นที่ ไม่ทิ้งถิ่นฐาน สู่เป้าหมาย งานดี มีเงิน ของไม่แพง

วันที่ 30 มีนาคม 2566 ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้เข้าร่วมเสวนา “มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ” จัดโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 

นายวรวุฒิ กล่าวถึงประเด็นปัญหาของเอสเอ็มอีทั่วประเทศ คือการตลาดและการเงิน ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้ามีนโยบายการช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้มีแต้มต่อ เข้าถึงแหล่งเงินทุนและการส่งเสริมการตลาดของเอสเอ็มอี ด้วยนโยบายที่ผลักดันมาตลาดคือ เครดิตบูโร 

ปัจจุบันประเทศไทยมีไมโครเอสเอ็มอีที่ติดแบล็กลิสต์อยู่เกือบ 6 ล้านราย เราพยายามเสนอให้มีการปรับระบบการให้เครดิตของธนาคารเป็นระบบเครดิตสกอร์ หลายคนอาจจะสับสนคิดว่าเราจะยกเลิกเครดิตบูโร ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพียงแต่ปรับระบบเครดิตเป็นเครดิตสกอร์ ซึ่งจะทำให้มีข้อมูลที่มากกว่า ข้อมูลการชำระเงินตามนัดหรือไม่ตามนัด 

                       วรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า

ปัจจุบันระบบเครดิตบูโรดูแค่นั้น แต่เครดิตสกอร์ถ้าเราศึกษาบริษัทฟินเทคของหลายประเทศ พารามิเตอร์ที่เขาใช้วิธีการคำนวณจะมีตัวแปรในการคำนวณ 80-100 ตัวแปร ยิ่งให้ข้อมูลละเอียดเท่าไหร่ การให้สินเชื่อยิ่งแม่นยำ

“ที่สำคัญคือ การใช้เครดิตสกอร์ และทำให้เกิดการแข่งขันของธนาคารว่าจะให้ดอกเบี้ยเท่าไหร่  สมมุติได้เครดิตสกอร์อยู่ที่ 85% แต่ละธนาคารจะต้องมาแข่งกันว่า ธนาคารนี้ให้เท่าไหร่ แต่ปัจจุบันในระบบของ MLR เป็นระบบดอกเบี้ยคงที่ และเป็นการเหมารวม 
เพราะการคิด MLR ของไทยมันเป็นการคิดทั้งระบบ ซึ่งมีทั้ง NPL มีทั้งเครดิตดีและไม่ดี ปนกันไป แต่ระบบเครดิตสกอร์ มันจะทำให้คนเครดิตดีได้ดอกเบี้ยที่ถูกลง  คนเครดิตไม่ดี ยังอยู่ในระบบได้ แต่เบี้ยอาจจะแพงขึ้น แต่จะแพงแค่ไหนก็ไม่เกิน 36% ตามที่กฎหมายกำหนด” 

รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวอีกว่า ในส่วนของการสร้างความเจริญไปสู่ภูมิภาคนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาของประเทศไทยมานานคือ โครงสร้างราชการส่วนกลางกระจุกตัวอยู่ในเมือง หรือ กทม.มากไป ถ้าเปรียบเทียบกับบริการภาครัฐ ของประเทศญี่ปุ่น กระทรวงในเมือง มีอยู่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่จะอยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งสามารถขับเคลื่อนทำธุรกิจได้ง่าย 

และสิ่งที่พรรคชาติพัฒนากล้า จะผลักดัน คือ เรื่องของการกระจายอำนาจ ทดลองนำร่องเลือกตั้งผู้ว่าฯ ในจังหวัดที่มีความแข็งแรงทางเศรษฐกิจก่อน 

ขณะเดียวกันเรายังสนับสนุนให้ทุกจังหวัดมีแผนพัฒนาจังหวัด 20 ปี  เพื่อให้ทันยุค VUCA คือ โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แทนการทำแผนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 20 ปี ซึ่งบางอย่างทำไม่ได้และคิดไม่ถึง เช่น วิกฤตโควิด และ สงครามรัสเซีย - ยูเครน เชื่อว่าไม่มีคาดคิดแน่นอน

ทั้งนี้หากทุกจังหวัดมีแผนที่ดีก็จะทำให้ความเจริญกระจายไปสู่ภูมิภาค ลดเหลื่อมล้ำ คนในพื้นที่ไม่ต้องทิ้งถิ่นฐาน และความเจริญก็จะไม่กระจุกตัวอยู่ไม่กี่จังหวัด

                          นโยบายแก้เศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนากล้า

รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ในช่วงที่ทั่วโลกประสบวิกฤตโควิดและผลพวงจากสงคราม เกิดการกีดกันทางการค้า ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยถดถอย ดังนั้น พรรคการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศในรัฐบาลหน้าต้องเก่งเศรษฐกิจและต้องหารายได้เป็น 

พรรคชาติพัฒนากล้าเรานำเสนอนโยบายเฉดสี สร้างรายได้ 5 ล้านล้านบาทใน 5 ปี แต่การจะดำเนินไปสู่เป้าหมายนั้น ต้องปรับโครงสร้างในหลายส่วนที่สร้างความเหลื่อมล้ำ ตัดโอกาสคนตัวเล็กที่จะเติบโตเป็น รายกลาง และรายใหญ่ เป็นไปได้ยากมาก  

เราจึงเสนอรื้อโครงสร้างพลังงาน เพื่อทำให้ต้นทุนของภาคประชาชน และภาคธุรกิจถูกลง นอกจากนี้ต้องมีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเราได้เสนอการยกเลิกแบล็กลิสต์ เพื่อให้แต้มต่อกับประชาชนและคนตัวเล็กได้ลืมตาอ้าปากได้ 

นอกจากนี้ดอกเบี้ยเงินฝาก กับดอกเบี้ยเงินกู้ ไม่ควรห่างกันมากเหมือนทุกวันนี้ ในขณะที่ในบางประเทศห่างกันเพียง 1% เท่านั้น 
รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวด้วยว่า พรรคชาติพัฒนากล้า มีโนบายรื้อโครงสร้างระบบภาษี ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 40,000 บาทไม่ต้องเสียภาษี และผู้ที่มีรายได้สูงกว่านั้นก็จะประหยัดไป 7,500 บาทต่อปีโดยประมาณ ควบคู่กับการลดค่าครองชีพ 

อย่างไรก็ตาม เรายังไม่เร่งเรื่องค่าแรงงานขั้นต่ำ เพราะคิดว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องทักษะฝีมือ จึงควรพัฒนาแรงงานให้มีทักษะฝีมือ และรายได้ก็จะเพิ่มตามมา ส่วนเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเราเห็นด้วยแต่ต้องหารือระดับไตรภาคี อีกหนึ่งปัญหาที่ต้องรื้อโครงสร้างคือ ระบบราชการที่ต้องพัฒนาไปสู่การเป็น Digital Government เพราะหากยังทำไม่ได้ ความโปร่งใสก็จะเกิดขึ้นได้ยาก 

สิ่งที่พรรคชาติพัฒนากล้าเน้นย้ำมาตลอด คือ การหารายได้ ต้องพัฒนาสตาร์ทอัพสายเทค และพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา หรือเศรษฐกิจสายมู เพื่อบูทการท่องเที่ยว ที่เริ่มต้นจากความศรัทธา เพราะจะตามมาด้วยแหล่ง และอาหารการกิน สร้างรายได้ในชุมชน 

อีกหนึ่งรายได้ที่จะพัฒนาได้ทันทีคือ เศรษฐกิจสีเทา ถึงเวลาที่จะเพิ่มรายได้ประเทศด้วยการนำธุรกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน แล้วบริหารจัดการให้ดี เพิ่มจีดีพีให้กับประเทศได้อีกมาก ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าเราได้พร้อมที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เพื่อไปสู่เป้าหมาย งานดี มีเงิน และของไม่แพง  เราทำได้ทันที ที่ได้ได้มีโอกาสเข้าไปทำงาน