“อลงกรณ์”ยันปชป.หนุนตั้งรัฐบาลเร็วป้องกันบั่นทอนเสถียรภาพประเทศ

27 มี.ค. 2566 | 20:40 น.
อัปเดตล่าสุด :27 มี.ค. 2566 | 20:47 น.

“อลงกรณ์”ตอบโจทย์หอการค้า-สภาอุตฯ ยัน “ประชาธิปัตย์”หนุนตั้งรัฐบาลเร็วป้องกันสูญญากาศการเมืองบั่นทอนเสถียรภาพประเทศ พร้อมเดินหน้านโยบายสร้างเงิน แก้หนี้ แก้จน ลดเหลื่อมล้ำ เพิ่มศักยภาพคนยกระดับรายได้ประเทศด้วยเศรษฐกิจระบบใหม่

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และประธาน คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอเชิงนโยบายและข้อกังวลเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วันนี้ ว่า พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ให้ความมั่นใจว่าจะช่วยให้การจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง เป็นไปโดยราบรื่น ภายใต้วิถีทางประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

“ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ในฐานะเสียงข้างมาก หรือ เสียงข้างน้อย เพื่อให้รัฐบาลใหม่เข้ามารับผิดชอบบริหารประเทศต่อไปโดยรวดเร็ว ต้องไม่ให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง ที่จะมาบั่นทอนเสถียรภาพของประเทศ การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจะต้องเป็นไปอย่างราบรื่น” 

สำหรับข้อเสนอแนะของภาคเอกชนส่วนใหญ่ตรงกับนโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ และผลงาน 4 ปีที่ พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการมาในช่วงเป็นพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งนโยบายใหม่ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ เช่น นโยบายเศรษฐกิจฐานราก นโยบายเศรษฐกิจทันสมัย นโยบายเศรษฐกิจมหภาค การตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี  

การอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1ล้านล้าน เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยภาพรวม การยกระดับภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีสู่เกษตรมูลค่าสูง โดยจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมทุกจังหวัดเป็นครั้งแรก, นโยบายตลาดนำการผลิต 

การยกระดับภาครัฐสู่รัฐบาลดิจิตอล( Digital Government) เช่น นโยบายดิจิตอล ทรานฟอร์มเมชั่น (Digital Transformation) ของกระทรวงเกษตรฯ. การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์เอื้อต่อการค้าและการลงทุน

การบริหารจัดการต้นทุนด้านพลังงาน การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมีการใช้จ่ายต่อหัวที่สูงและรักษาสิ่งแวดล้อม การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ RCEPและ Mini FTA การสร้างโอกาสจากการฟื้นสัมพันธ์กับประเทศต่างๆเช่นซาอุดีอาระเบีย

การยกระดับการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และโค้ดดิ้งก์(Coding) การพัฒนาแรงงานให้มีทักษะสูง, การสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และยานยนต์ไร้คนขับ การพัฒนาอีอีซี.และนโยบายบีซีจี.รวมทั้งการใช้พลังงานสะอาด

การดึงการลงทุนจากต่างประเทศ การคว้าโอกาสการย้ายฐานผลิต ทั้งจากจีนและยุโรปบางส่วนเนื่องจากโรงงานประสบปัญหาวิกฤติด้านพลังงาน

การปฏิรูปภาคอุตสาหกรรมเพื่อการผลิตและส่งออกไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ที่แข่งขันได้ในอนาคต โดยเฉพาะนโยบาย 12 อุตสาหกรรมใหม่ (12S-Curve) นโยบายการสร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่ ใน 18 กลุ่มจังหวัดทั่วประเทศที่กระทรวงเกษตรฯ โดยการนำของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ ดำเนินการร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ ใน 3 ปีกว่า ที่ผ่านมา 

และการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจใหม่ๆ ตอบโจทย์ความท้าทายของอนาคตซึ่งเป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำมาก่อน และจะเดินหน้าต่อ เช่น นโยบายพลังงานทดแทน นโยบายคาร์บอนเครดิต นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) เศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy) และเศรษฐกิจเพื่อสังคม (Social Economy)

“นโยบายเหล่านี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้หลุดพ้นจากความยากจนและหนี้สิน แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือน การฟื้นฟูเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนต้องเร่งทำทันทีเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วภายใต้แนวทางสร้างเงินสร้างคนสร้างชาติของพรรคประชาธิปัตย์ในยุคอุดมการณ์-ทันสมัย 

4 ปีที่ผ่านมา เราสร้างเงินให้ประเทศจากการส่งออกกว่า 30 ล้านล้านบาท ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง เป็นหลักประกันในผลงานที่ทำได้ไวทำได้จริง และเราพร้อมร่วมมือกับหอการค้า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และทุกภาคส่วนในการนำประเทศเดินไปข้างหน้าอย่างมีเสถียรภาพเพื่อคนไทยทุกคน