บอร์ด กสทช. สั่งรีวิวแผนประมูลคลื่น ปิดช่องเอกชนฮั้วราคา

12 มี.ค. 2568 | 17:21 น.
อัปเดตล่าสุด :12 มี.ค. 2568 | 17:44 น.

บอร์ด กสทช.ยื้อผ่านร่างแผนประมูลคลื่น 6 ความถี่ สั่งสำนักงานจัดทำรายละเอียดให้รัดกุมป้องกันเอกชนฮั้วราคา ยืนกรอบประมูลตามเดิม 17 พ.ค.นี้ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2568 มีวาระการพิจารณาหลังจากได้จัดให้มีการรับฟังความเห็นสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) เผยแพร่ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่าน 850 เมกะเฮิรตซ์ 1500 เมกะเฮิรตซ์ 1800 เมกะเฮิรตซ์ 2100 เมกะเฮิรตซ์ 2300 เมกะเฮิรตซ์ และ 26 กิกะเฮิรตซ์ ในวันที่ 6 ก.พ.2568 และได้ปิดรับฟัง ความคิดเห็น ไปเมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น 

ล่าสุดผลการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) นายสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กสทช.เห็นชอบให้มีการทบทวนแนวทางการประมูลคลื่นความถี่ใหม่ หลังมีข้อกังวลเรื่องการแข่งขันไม่เป็นธรรม เนื่องจากเหลือผู้ให้บริการหลักในตลาดเพียง 2 รายคือบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ซึ่งอาจนำไปสู่การผูกขาดและไม่เกิดการแข่งขันในเรื่องการเสนอราคา ส่งผลให้รัฐบาลได้เงินเข้ารัฐน้อยลง และอาจจะส่งผลในอนาคต นอกจากนี้ อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในระยะยาว 

ไม่กระทบไทม์ไลน์เดิม

อย่างไรก็ดี เบื้องต้น ที่ประชุมมอบหมายให้ สำนักงาน กสทช. จัดทำแนวทางการประมูลใหม่ โดยพิจารณาว่าควรจัดกลุ่มคลื่นความถี่เพื่อประมูลรวมกันแบ่งตามคุณสมบัติทางเทคนิค คือ ย่านความถี่ต่ำ (low band) ย่านความถี่กลาง (mid band) และย่านความถี่สูง (hi band) หรือเปิดประมูลแยกเป็นรายคลื่น เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่แท้จริง พร้อมทั้งศึกษาระบบอีโคซิสเต็มของคลื่นความถี่ว่า คลื่นย่านใดควรอยู่ร่วมกันเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการใช้งาน และการหาอุปกรณ์มารองรับ แต่ทั้งนี้ บอร์ดกสทช.ยังมั่นใจว่ากรอบระยะเวลาการประมูลยังคงเป็นตามเดิม โดยจะจัดการประมูลในวันที่ 17-18 พ.ค.นี้

ทั้งนี้ กรอบเวลาในการจัดประมูลเคลื่นมือถือครั้งนี้ พร้อมกัน 6 คลื่นความถี่ หลังจากรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศฯ 20 ม.ค.- 20 ก.พ. 2568 แล้วนั้น กำหนดไว้ดังนี้ เสนอผลการรับฟังความคิดเห็นต่อคณะทำงานในวันที่ 21-24 ก.พ. 2568 และเสนอผลการรับฟังความคิดเห็นต่อคนะอนุกรรมการ 25-28 ก.พ. 2568 จากนั้นจะเสนอผลการรับฟังความคิดเห็นต่อที่ประชุมบอร์ดกสทช.ในวันที่ 4 มี.ค.2568 และจะประกาศลงราชกิจจานุเบกษา 6-13 มี.ค.ต่อไป

สำหรับการรับแบบคำขอใบอนุญาตฯ และการประมูลคลื่นความถี่ สำนักงาน กสทช. จะประกาศเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมการะมูลระหว่างวันที่ 15 มี.ค.- 13 เม.ย.2568 และจะเปิดให้ยื่นคำขอเพื่อเข้าร่วมการประมูลคลื่นความถี่ในวันที่ 16 เม.ย.2568

หลังจากนั้นทาง สำนักงาน กสทช. จะตรวจสอบคุณสมบัติ  เสนอ กสทช. เพื่อพิจารณาในวันที่ 17-28 เม.ย.2568 และเสนอ บอร์ดกสทช. เพื่อพิจารณาผลการตรวจคุณสมบัติในวันที่  28 เม.ย.- 2 พ.ค.2568 และประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติเข้าร่วมประมูลในวันที่ 6 พ.ค.2568

ขณะที่ การเตรียมความพร้อมสำหรับผู้เข้าร่วมการประมูล (Mock Auction) จะจัดขึ้นในวันที่  8 พ.ค.2568 และกำหนดวันประมูล (Auction) ในวันที่ 17-18 พ.ค.2568 เป็นเวลา 2 วัน หลังจากนั้น จะมีการจัดประชุมบอร์ด กสทช. เพื่อพิจารณารับรองผลการประมูล ภายใน 7 วัน
 

สภาฯผู้บริโภคยื่นหนังสือเบรกประมูล

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการ ด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค และ นายอิฐบูรณ์ อันวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้เข้ายื่น หนังสือถึง นายสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกสทช.เพื่อให้ชะลอ การประมูลคลื่นความถี่

โดยให้เหตุผลว่า การประมูลคลื่นความถี่ครั้งใหม่ อาจไม่เป็นธรรมหรือไม่ เมื่อผู้ให้บริการเหลือเพียง 2 ราย แต่มีการเปิดประมูลคลื่นความถี่พร้อมกันถึง 6 ย่านความถี่ ทำให้หมดโอกาสในการแข่งขันส่งผลให้ผู้ประกอบการในตลาดโทรคมนาคมอาจขาดแรงจูงใจในการแข่งขันและพัฒนา และผู้บริโภคอาจได้รับผลกระทบจากค่าบริการและคุณภาพที่ไม่เป็นธรรม 

“การมายื่นคัดค้านถึง กสทช. เนื่องจากสภาฯผู้บริโภคมองว่าการประมูลครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคม โดยเฉพาะเมื่อมีผู้เข้าร่วมประมูลเพียงสองรายหลัก อีกทั้งการประมูลดังกล่าวไม่มีหลักประกันที่ชัดเจนว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพบริการ ราคา หรือความคุ้มครองจากภาครัฐ และอาจนำไปสู่การผูกขาดที่กระทบต่อผู้บริโภคในระยะยาว” 

น.ส.สุภิญญา กล่าวว่า สำหรับสาเหตุหลักที่สภาผู้บริโภคเสนอให้มีการชะลอการประมูลคลื่นความถี่ 2 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1. การประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้อาจไม่มีการแข่งขันที่แท้จริง เนื่องจากมีผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงสองรายเท่านั้น คือ ทรู คอร์ปอเรชั่น และ เอไอเอส ซึ่งเกิดจากการที่ กสทช. อนุญาตให้มีการรวมกิจการในธุรกิจโทรคมนาคมก่อนหน้านี้ ผลการวิจัยจาก 101 Public Policy Think Tank พบว่า ผู้บริโภคที่ใช้บริการจากสองค่ายนี้ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.9% หรือราว 100 บาทต่อคนต่อเดือน 

เมื่อเปรียบเทียบกับค่าบริการก่อนและหลังการรวมกิจการ ซึ่งแพ็กเกจราคาถูกที่สุดในปี 2565 ที่ราคา 299 บาท/เดือน หายไป และกลายเป็น 399 บาท/เดือน แทน ดังนั้น การประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้ที่มีทั้งหมด 6 ย่านความถี่ จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพและราคาของบริการที่ผู้บริโภคต้องรับในอนาคต ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

2. การประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้ไม่มีการกำหนดเพดานราคาค่าบริการสูงสุดที่เหมาะสมกับปริมาณและคุณภาพการบริการที่จะเก็บจากผู้บริโภค รวมถึงผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน (MVNO) ที่ต้องแข่งขันในตลาดเดียวกัน ซึ่งหมายความว่า ไม่มีการรับประกันว่า ผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการรายเล็กจะได้รับความคุ้มครองอย่างเป็นธรรมจากการประมูลครั้งนี้ในตลาดที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เหลือแค่สองรายเท่านั้น

“การมายื่นหนังสือครั้งนี้ เป็นการทำตามกระบวนการ หาก กสทช. ไม่มีการพิจารณาทบทวน ถึงที่สุดแล้วทางสภาผู้บริโภค ก็คงต้องพึ่งศาลปกครองเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ เราก็ไม่อยากให้ต้องดำเนินการถึงขั้นนั้น” น.ส.สุภิญญา กล่าว