ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้มีคนไทยมากถึง 67% ที่เลือกซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะสูงถึง 750,000 ล้านบาท ภายในปี 2568
อย่างไรก็ตามภูมิทัศน์การแข่งขันในอีคอมเมิร์ซเริ่มรุนแรงมากขึ้น โดย 2 ยักษ์แพลตฟอร์มอีมาเก็ตเพลส ช้อปปี้ และลาซาด้า ที่ครองตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมากกว่า 90% กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากโซเชียลคอมเมิร์ซ อย่าง TikTok Shop และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของถูกจากโรงงานอย่าง Temu ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับตัวอย่างหนักเพื่อรักษาตลาดตัวเองเอาไว้
โดย ช้อปปี้ถือเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมและสร้างมาตรฐานใหม่ในอีคอมเมิร์ซไทย ช้อปปี้ นำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ก้าวเป็นแพลตฟอร์มอีมาเก็ตเพลสอันดับ 1 โดยมีส่วนแบ่งตลาด 56% มีผู้ใช้งาน 50 ล้านคนต่อเดือน
ช้อปปี้ สร้างชื่อจากคูปองส่งฟรี ไม่มีเงื่อนไข และ Shopee Live ไลฟ์สตริ่มมิ่ง หรือ ไลฟ์สดขายของ เครื่องมือช่วยร้านค้าสร้างยอดขาย และสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ให้ผู้บริโภค นอกจากนี้ช้อปปี้ ยังมีโปรแกรม Shopee Affiliate Program การสร้างรายได้จากการแชร์ลิงก์โปรโมตสินค้า ร้านค้า หรือ หน้าแคมเปญ จากแอป Shopee และจะได้รับค่าตอบแทนเป็น % ค่าคอมมิชชัน ของสินค้าทุกชิ้นที่มีคนซื้อจริงหลังคลิกลิงก์ โดยจะต้องเป็นออเดอร์ที่สำเร็จ และเป็นแพลตฟอร์มอีมาเก็ตเพสรายแรกที่นำ ล่าสุดเปิด Shopee Video แหล่งรวมคลังรีวีวที่ได้รับความนิยมจากนักช้อป คอนเทนต์ครีเอเตอร์ และแบรนด์พันธมิตร โดยเป็นฟีเจอร์มาแรงอย่างมาก
จากการตรวจสอบข้อมูลจาก Creden พบว่าบริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด ระหว่างปี 2562-2566 พบว่าช้อปปี้สามารถพลิกทำกำไรอย่างรวดเร็ว โดยปี 2564 ขาดทุน 4,972,561,566 บาท (ขาดทุนมากที่สุด) แต่ในปี 2565 สามารถทำกำไร 2,380,269,060 บาท (กำไรสูงสุด) และในปี 2566 มีกำไรต่อเนื่อง 2,165,702,217 บาท
รายได้-กำไร บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด
ปี 2562
- รายได้ 1,986,021,185 บาท
- ขาดทุน 4,745,723,178 บาท
ปี 2563
- รายได้ 5,812,790,479 บาท
- ขาดทุน 4,170,174,144 บาท
ปี 2564
- รายได้ 13,322,184,294 บาท
- ขาดทุน 4,972,561,566 บาท (ขาดทุนมากที่สุด)
ปี 2565:
- รายได้ 21,709,715,956 บาท
- กำไร 2,380,269,060 บาท (กำไรสูงสุด)
ปี 2566:
- รายได้ 29,476,729,160 บาท (สูงสุดในช่วง 5 ปี)
- กำไร 2,165,702,217 บาท
ส่วน “ลาซาด้า” ยักษ์แพลตฟอร์มอีมาเก็ตเพลสอีกรายหนึ่งที่ดำเนินธุรกิจในไทยมา 12 ปี โดยมีแบ็กอัพใหญ่สำคัญคือ “อาลีบาบา กรุ๊ป” ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซโลก ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 โดยครองส่วนแบ่งตลาดราว 40% ล่าสุด ลาซาด้า ประกาศเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ 3 ด้าน ได้แก่ การยกระดับประสบการณ์นักช้อป นวัตกรรมและเทคโนโลยี และการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ยกระดับประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล
เพื่อตอบรับการขยายตัวของกลุ่มนักช้อปหญิงและบทบาทที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z ลาซาด้า เดินหน้ากลยุทธ์เพิ่มประสบการณ์การช้อปที่แตกต่าง ภายใต้แนวคิด “Customer-First” เน้นการตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราการซื้อซ้ำและความเหนียวแน่นของนักช้อป โดยสร้างความแตกต่างในหมวดหมู่สินค้าพรีเมียม แฟชัน และความงาม ซึ่งเป็นจุดแข็งของแพลตฟอร์ม เห็นได้จากยอดขายรวมของ LazMall ในช่วงเมกะแคมเปญ ซึ่งก้าวกระโดดมากกว่า 7 เท่า เมื่อเทียบกับวันปกติ ในขณะที่ LazBEAUTY มีจำนวนสมาชิกในไทยกว่า 1 ล้านราย
ลาซาด้า เสริมความแข็งแกร่งของ LazMall ผ่านการขยายพันธมิตรแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟ และรุกเซ็กเมนต์สินค้าลักชูรี ผ่านหมวดสินค้า LazMall Premium Brand นอกจากนี้ ยังตอกย้ำ LazLOOK ในฐานะจุดหมายสินค้าแฟชัน ผ่านแคมเปญรายสัปดาห์ที่จะเข้ามาสร้างความตื่นเต้นและสีสันให้แก่นักช้อปอย่างต่อเนื่อง
ลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้การช้อปเป็นเรื่องสะดวกและสนุกยิ่งขึ้น ลาซาด้า ยังนำเทคโนโลยี AI เข้ามาขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและฟีเจอร์ต่าง ๆ โดยมี Gamification เป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการมีส่วนร่วมกับนักช้อป ที่ผ่านมา LazGame ได้รับผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากในประเทศไทย โดยมีผู้เล่นเกมกว่า 1 ล้านคนต่อวัน ซึ่งนักช้อปกลุ่มนี้มีการใช้งานแอปพลิเคชันนานกว่าค่าเฉลี่ยของแพลตฟอร์มถึง 3 เท่า และราว 82% กลับมาใช้งานแอปพลิเคชันเป็นประจำทุกวัน
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของการลงทุนด้านนวัตกรรมของลาซาด้า คือ ฟีเจอร์ “ถามผู้ใช้งานจริง (Ask the Buyer)” ซึ่งนำเทคโนโลยี AI มาช่วยตั้งคำถามเชิญชวนให้ผู้ซื้อรายก่อน ๆ มาร่วมรีวิวสินค้า เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อรายใหม่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีการตอบคำถามจากผู้ซื้อจริงไปแล้วกว่า 1.5 ล้านครั้ง
ส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพผู้ขายไทย
ด้วยพันธกิจในการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ลาซาด้า ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโซลูชันการตลาดเพื่อสนับสนุนผู้ขายให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ เช่น เครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยปรับแต่งรูปภาพ เขียนคำอธิบายสินค้า และให้บริการลูกค้า โดยพบว่าสามารถเพิ่มอัตราการซื้อได้กว่า 30%
จากการตรวจสอบข้อมูลจาก Creden พบว่าบริษัทลาซาด้า จำกัด มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่อง รายได้เพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2567 มีรายได้ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท และสามารถทำกำไรได้ในช่วง 4 ปีหลัง (2564-2567) โดยมีกำไรเติบโตขึ้นทุกปี
รายได้-กำไร บริษัทลาซาด้า จำกัด
ปี 2563
ปี 2564
ปี 2565
ปี 2566
ปี 2567