ศูนย์ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียน ภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA มีระเบียบที่กำหนดให้ประชาชนหรือผู้ที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล สามารถใช้สิทธิ์ในการ ‘ร้องเรียน’ ต่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล และผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ฝ่าฝืนกฎหมายได้
โดยมี ‘ศูนย์ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียน’ ภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC คอยดำเนินการในการรับเรื่อง, แสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ทั้งจากผู้ร้องเรียน ผู้ถูกร้องเรียน หรือพยานที่เกี่ยวข้อง, การทำสำนวนเรื่องร้องเรียน และเสนอข้อเท็จจริงของเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาออกคำสั่งทางปกครองต่อไป
การวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องร้องเรียนเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งหมด เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ หน้าที่หลักของศูนย์ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียน คือกระบวนการในการตรวจสอบ เอกสารหลักฐานตามแบบคำร้องเรียน ประกอบกับการพิจารณาเอกสารและการแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ทั้งความครบถ้วนถูกต้องของข้อมูลเอกสาร ซึ่งในกรณีที่ไม่ครบถ้วน ผู้ร้องเรียนก็จำเป็นต้องนำกลับไปปรับแก้ไขก่อนยื่นเรื่องใหม่ รวมไปถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ผู้ร้องเรียนให้มา พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถพิจารณาข้อมูลจากฝั่งเดียวได้ ต้องตรวจสอบ วิเคราะห์รายละเอียด และต้องไปแสวงหาข้อเท็จจริงจากผู้ถูกร้องหรือพยานเพิ่มเติม อีกทั้งบางกรณีที่คณะกรรมการฯ มองว่าข้อมูลที่รวบรวมมายังมีไม่มากพอ ก็อาจเรียกกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องเข้ามาเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในประเด็นนั้น ๆ ได้เช่นกัน
“ซึ่งนับตั้งแต่มีการรวบรวมรายงานสถิติรับแจ้งเรื่องร้องเรียน ตั้งแต่ พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 ได้มีการรับเรื่องร้องเรียน รวม 512 เรื่อง และมีการพิจารณาออกคำสั่งไปแล้ว 122 เรื่อง หรือ 23.82%”
ศูนย์ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียน ภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC เสริมว่า การแจ้งเรื่องร้องเรียน โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องการถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยที่ไม่ได้รับความยินยอม รวมถึงขอใช้สิทธิ์ลบ ทำลาย และขอปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน ในทุกช่องทาง ประกอบด้วย ยื่นต่อสำนักงานโดยตรง, ยื่นผ่านไปรษณีย์ และยื่นผ่านอีเมล และมีแนวโน้มการร้องเรียนเพิ่มขึ้น สาเหตุหลัก ๆ มาจากสังคมเกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลกันมากขึ้น รวมถึงที่ประชาชนได้ตระหนักรู้สิทธิ์ในกฎหมาย PDPA ของตนเริ่มมากขึ้นเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาศูนย์ฯ ได้พิจารณาไม่รับเรื่องร้องเรียนไปแล้วถึง 136 เรื่อง หรือคิดเป็น 26.56% เหตุผลหลักมาจากคำร้องนั้นไม่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากประชาชนยังขาดความรู้ ความเข้าใจ สิทธิ์ตามกฎหมาย PDPA ซึ่งกรณีนี้ ศูนย์ฯ จะแจ้งเหตุผลให้ผู้ร้องเรียนทราบ พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำกรณีสามารถใช้สิทธิ์ตามกฎหมายอื่นได้”
ทั้งนี้ เรื่องร้องเรียนที่ได้รับการเสนอต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ จะถูกพิจารณาแบ่งออกเป็น 3 คณะ คือ คณะที่ 1 พิจารณาเรื่องสถาบันการเงิน, คณะที่ 2 พิจารณาเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล, คณะที่ 3 พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับหน่วยงานภาครัฐ โดยผลการพิจารณาจะออกเป็นคำสั่ง แยกเป็นกรณีที่สามารถไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีได้ และกรณีที่มีมูลและพยานหลักฐานชัดเจน ให้พิจารณาสั่งลงโทษทางปกครองได้ อีกทั้งในปี 2567 นี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC ได้เตรียมเพิ่มคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาอีกหนึ่งคณะ คือ คณะที่ 4 เพื่อพิจารณาในเรื่องโรงพยาบาล สาธารณสุข และการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์ช่วยลดระยะเวลาการดำเนินงาน พร้อมยกระดับกระบวนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“ในปี 2567 นี้ ศูนย์ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียน ได้มุ่งเสริมแนวทางการปฏิบัติงานในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกับประชาชน อาทิ การเพิ่มจำนวนบุคลากร, เพิ่มความเสถียรให้ระบบการรับเรื่องร้องเรียนที่หน้าเว็บไซต์, พัฒนาระบบจัดเก็บฐานข้อมูลเรื่องร้องเรียน รวมถึงด้านสถิติต่าง ๆ เพื่อความโปร่งใสในการทำงาน นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมจัดทำคู่มือแนวทางของศูนย์ฯ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยึดเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติงาน
“นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ศูนย์ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียน รวมถึงทั้งหน่วยงานสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ โดยมุ่งสร้างความตระหนักรู้ในกฎหมาย PDPA ผ่านทางช่องทางของสำนักงานอย่างสม่ำเสมอ เช่น Facebook, YouTube หรือทางโทรศัพท์ในการให้คำปรึกษา เพื่อลดความเข้าใจผิดและลดเรื่องร้องเรียนที่ไม่ตรงกับหลักการของกฎหมาย PDPA เพราะถ้าสถิติการร้องเรียนมีตัวเลขลดลง แปลว่าสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงประชาชนมีความรู้และวิธีป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลที่ดีขึ้นเช่นกัน”