พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ,พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ หรือ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ร่วมกันให้ข้อมูลว่า “ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมมือกับ สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่าย ในการเดินหน้าปราบปรามสถานีโทรคมนาคมผิดกฎหมาย และจัดระเบียบเสาสัญญาณตลอดแนวชายแดนประเทศ เพื่อนบ้าน ตั้งแต่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด, อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อสกัดไม่ให้ มีการเผยแพร่สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาได้มี การกวาดล้างจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการย้ายฐานปฏิบัติ การเข้าสู่พื้นที่ใหม่ๆ ที่ยังสามารถอาศัยสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทยได้และปลอดภัยจากการกวาดล้างจับกุม โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและบางส่วนอยู่ ภายใต้อิทธิพลของชนกลุ่มน้อย
ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ชุดปฏิบัติการร่วมตำรวจและ กสทช. ได้มีการ ลงพื้นที่หาข่าวจนนำมาสู่การปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
จุดที่ 1 เข้าตรวจยึดอุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด จำนวน 64 อัน เราเตอร์อินเตอร์เน็ตสำหรับควบคุมระยะไกล 1 เครื่อง
จุดที่ 2 เข้าตรวจยึดอุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด จำนวน 64 อัน เราเตอร์อินเตอร์เน็ตสำหรับควบคุมระยะไกล 1 เครื่อง
จุดที่ 3 เข้าตรวจยึดอุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด จำนวน 64 อัน เราเตอร์อินเตอร์เน็ตสำหรับควบคุมระยะไกล 1 เครื่อง
จุดที่ 4 เข้าตรวจยึดอุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด จำนวน 64 อัน เราเตอร์อินเตอร์เน็ตสำหรับควบคุมระยะไกล 1 เครื่อง
จุดที่ 5 เข้าตรวจยึดอุปกรณ์ SIM BOX จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิมการ์ด จำนวน 62 อัน เราเตอร์อินเตอร์เน็ตสำหรับควบคุมระยะไกล 1 เครื่อง
ซึ่งครั้งนี้ พบว่า เป็นลักษณะของการใช้พื้นที่ในอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ แล้วใช้เราเตอร์ของอาคาร ทำให้กลืนไปกับปริมาณการใช้งานของอาคาร เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตรวจจับได้ยากขึ้น นอกจากนี้การเข้ามาตั้ง SIM BOX ในลักษณะนี้ทำให้หมายเลขการโทรแสดงเป็นหมายเลขภายในประเทศ เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการขึ้นหมายเลขหน้าเบอร์โทร Prefix ของ กสทช.ที่เคยกำหนดไว้ และทำให้ประชาชนหลงเชื่อได้ง่ายขึ้น
นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “จากกรณีการเกิดอาชญากรรมจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ และมีประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ส่งผลกระทบตั้งแต่การสูญเสียทรัพย์สิน ไปจนถึงสภาพจิตใจ ดังนั้น AIS จึงให้ความสำคัญอย่างมากในการดูแล ปกป้อง ความปลอดภัยของลูกค้าและประชาชน ที่ผ่านมาจึงทำงานร่วมกับภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจไซเบอร์ และ กสทช. ตั้งทีมประสานงาน ตรวจสอบ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากการที่ประชาชนแจ้งความร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแจ้งผ่านบริการสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรและ SMS มิจฉาชีพ ตลอด 24 ชั่วโมง จนสามารถนำไปสู่การขยายผล จับกุม คนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง”
ซึ่งปัจจุบันนอกจากมิจฉาชีพจะใช้กลอุบายในการโทรหลอกลวงเช่นในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ยังมีการหาข้อมูลเกี่ยวกับเหยื่อที่จะโทรหลอกลวงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการหลงเชื่อ สูญเสียทรัพย์สิน หรือ กระทำการข่มขู่ทวงหนี้ทำให้เกิดความหวาดกลัว ผ่านการใช้อุปกรณ์ SIM BOX เครื่องแปลงสัญญาณโทรศัพท์แบบใส่ซิมการ์ด ที่เป็นการลักลอบใช้เป็นช่องทางการสื่อสารที่สามารถเข้าถึงประชาชนบุคคลทั่วไปภายในประเทศ ซึ่งทาง AIS ได้ร่วมส่วนหนึ่งของภารกิจในการติดตามและตรวจสอบสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น จนสามารถทราบถึงต้นตอหรือแหล่งกบดานของคนร้าย ซึ่งนำสู่การบุกทลายแก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้ได้สำเร็จ”