ในงานประชุมครั้งใหญ่ Worldwide Developers Conference 2023 หรือ WWDC ของ Apple เมื่อคืนวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา Apple สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการอวดโฉมอุปกรณ์แว่น AR, VR ตัวแรกที่ใช้ชื่อ Apple Vision Pro ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก หลังจากที่มีข่าวพัฒนามาเป็นเวลานาน โดย Apple เรียกอุปกรณ์ชิ้นนี้ว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวที่ Advance มากที่สุด และเชื่อว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก
โดยนายทิม คุก ซีอีโอ Apple อิงค์ กล่าวว่า การเปิดตัว Apple Vision Pro ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับการประมวลผล เช่นเดียวกับที่ Mac ที่ทำให้เรารู้จักคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และ iPhone ที่ทำให้เรารู้จักคอมพิวเตอร์พกพา Apple Vision Pro จะทำให้เรารู้จักคอมพิวเตอร์เชิงพื้นที่ โดย Apple Vision Pro สร้างขึ้นจากนวัตกรรมของ Apple หลายทศวรรษ ซึ่งล้ำหน้าไปหลายปีและไม่เหมือนรุ่นก่อนๆด้วยระบบอินพุตใหม่ที่ปฏิวัติวงการและนวัตกรรมที่ก้าวล้ำกว่าพันรายการ ซึ่งจะปลดล็อกประสบการณ์ที่เหลือเชื่อสำหรับผู้ใช้ของเราและโอกาสใหม่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักพัฒนาของเรา”
ด้านนายขจร เจียรนัยพานิชย์ แฟนพันธุ์แท้สตีฟ จ็อบส์ และสาวก Apple เปิดเผยกับ”ฐานเศรษฐกิจ”ว่าในฐานะสาวก Apple รู้สึกตื่นเต้นกับ Apple Vision Pro อุปกรณ์แว่น VR ตัวแรกของ Apple เพราะ Apple ให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากในการเปิดตัว ทิม คุก ซีอีโอ Apple ใช้คำว่า One More Thing ที่มั่นใจว่า Apple Vision Pro จะเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก โดยครั้งล่าสุดที่ Apple ใช้ One More Thing คือ Apple Watch ที่เปิดตัวเมื่อ 8 ปีที่แล้ว
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ความเป็น Apple ที่ดีไซน์ และพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใส่ใจในรายละเอียดผู้ใช้ เช่น จอพิเศษ ที่ทำให้ผู้ใช้ Apple Vision Pro มองเห็นด้านนอก และ คนด้านนอกสามารถมองเห็นดวงตาคนสวมใส่อุปกรณ์ ซึ่งอุปกรณ์ที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบันไม่มี โดย Apple ต้องการพัฒนาฟีเจอร์ดังกล่าวออกมาเพื่อแก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยี VR – AR ทำให้ผู้ใช้อุปกรณ์ไม่ได้หลุดไปอยู่ในโลกเสมือนจริงเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจโลกจริง แต่สามารถคอนเนค หรือ เชื่อมต่อกับผู้คนในโลกจริง หรือ การสื่อสารของ Apple ไปยังผู้ใช้ โดยมุ่งตอกย้ำกับผู้บริโภคว่า Apple Vision Pro เป็นอุปกรณ์ส่วนตัวภายในบ้าน ไม่เหมาะไปใช้งานนอกบ้าน หรือใช้สวมใส่เดินบนท้องถนน แสดงให้เห็นว่า Apple ค่อนข้างใส่ใจ และมีความเป็นธรรมชาติมาก
นายขจร กล่าวต่อไปว่า Apple มีความได้เปรียบคู่แข่ง โดยเป็นผู้พัฒนา ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์เอง สามารถออกแบบชิป เพื่อมาใช้กับผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งโดยเฉพาะ และมีซอฟต์แวร์ตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร นอกจากนี้ Apple ยังต้องการสร้างอีโคซิสเต็มของผลิตภัณฑ์ขึ้นมา โดยร่วมมือกับ วอลต์ดิสนีย์ ผู้ผลิตคอนเท้นต์ระดับโลก เพื่อเพิ่มประสบการณ์คอนเท้นต์ด้านความบันเทิงกับกลุ่มผู้ใช้งานอุปกรณ์
ส่วนที่หลายคนมองว่า Apple Vision Pro มีราคาสูง โดยวางราคาจำหน่ายเริ่มต้นไว้ 3,499 เหรียญสหรัฐ ประมาณ 121,541 บาท นั้นสำหรับกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปอาจราคาสูงเมื่อเทียบกับอุปกรณ์แว่น VR ในท้องตลาด แต่ในมุมของสาวก ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีนั้นมองว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล ถ้าดูจากการออกแบบและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยเป็นครั้งแรกที่ Apple เลือกเปิดตัวรุ่น Pro ก่อนรุ่นมาตรฐาน (Standard) จะเห็นว่า Apple ไม่แค่ยอดขาย โดยออกรุ่น Pro ราคาสูงออกมาเพื่อต้องการสร้างมาตรฐาน และยกระดับผลิตภัณฑ์ขึ้นไปเพื่อให้คู่แข่งขันตามไม่ทัน ซึ่งหลังจากนี้เชื่อว่าจะมีผลิตภัณฑ์อีก 2 รุ่นตามมา คือ รุ่น Standard ที่มีราคาถูกกว่า และ รุ่นที่มากกว่า Pro ราคาสูงกว่าออกมา สู่ตลาด และเชื่อว่าถึงจุดหนึ่ง Apple Vision Pro จะราคาลดลงมา เหมือนกับ Macbook Air ที่เปิดตัวครั้งแรกราคา 70,000 บาท วันนี้ราคาเหลือ 32,000 บาท
ขณะที่นายด้านนายพงศ์วุฒิ ไพรไพศาลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิ๊กส์แบง ทิออรี่ย์ จำกัด หรือ Big Bang Theory ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเมตาเวิร์ส พร้อมใช้ หรือ Metaverse as a service กล่าวว่า การเปิดตัว Apple Vision Pro เป็นการตอกย้ำให้เห็นอนาคตของ Metaverse ที่ผู้นำเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Apple ยังให้ความสำคัญ และจะกระตุ้นให้คู่แข่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาในตลาด
Apple Vision Pro ออกแบบมาด้วยกระจกไวเซอร์เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับเฟรมอลูมีเนียมแบบไร้รอยต่อ ปรับกระชับได้ ขอบบังแสงรอบดวงตา (Light Seal) ด้านบนของ Vision Pro จะมี Digital Crown ซึ่งเป็นปุ่มปรับโหมดในการใช้งาน ซึ่งแต่ละโหมดก็จะระดับความดื่มด่ำ (immerse) ไม่เหมือนกัน จอแสดงผลเป็นจอ micro OLED 2 ข้าง ความละเอียด 23 ล้านพิกเซล ใช้ชิปเซ็ต Apple M2 รุ่นปรับแต่งพิเศษที่มี 2 คอร์ และชิป R1 ในการคำนวณข้อมูลจากกล้องทั้ง 12 ตัว, เซนเซอร์ 5 ตัว และไมค์ 6 ตัว โดยชิป R1 สามารถสตรีมภาพเข้าสู่สายตาเราได้ในทุก ๆ 12 มิลลิวินาที เร็วกว่าการกะพริบตา 8 เท่า แบตเตอรีแพ็คภายนอก ใช้งานได้นานสุด 2 ชั่วโมง ใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบใหม่ที่เรียกว่า Optics ID หรือ การสแกนม่านตา การควบคุมทั้งหมดจะใช้ดวงตา มือ และเสียงของผู้ใช้
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ EyeSight หากมีใครเดินเข้ามาในระยะ แว่นตาจะใสขึ้น คนอื่นจะเห็นดวงตาของผู้ใช้ผ่านแว่น สามารถพูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ และใช้ระบบปฎิบัติการ visionOS ที่มี App Store ของตัวเอง เบื้องต้นจะมีแอปของ iPhone และ iPad ที่คัดมาแล้วว่าใช้งานกับ Apple Vision Pro ได้ไม่มีปัญหา
Apple Vision Pro จะวางจำหน่ายเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้นในช่วงต้นปีหน้า ในราคา 3,499 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 121,590 บาท ก่อนจะทยอยวางจำหน่ายในประเทศอื่น ๆ ต่อไป