Grab ลั่นทำกำไรก่อนสิ้นปี เร่งดันยอดใช้จ่ายต่อออเดอร์

02 มิ.ย. 2566 | 01:00 น.

แกร็บ ประเทศไทย ประกาศสิ้นปีนี้ต้องทำกำไร ระบุบริการเรียกรถกลับมาเติบโตหลังนักท่องเที่ยวกลับเข้าไทย เร่งเพิ่มจำนวนรถรองรับ ขณะที่บริการส่งอาหาร ยอดไม่ตก ชูกลยุทธ์รวมร้านอร่อยยกนิ้ว #GrabThumbsUp- GrabUnlimited ดันยอดใช้จ่ายต่อการสั่งออเดอร์แต่ละครั้งสูงขึ้น

บริการเดลิเวอรี่ เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายในไทยช่วงโควิดที่ผ่านมา หลังจากเข้ามาตลาดไทยเกือบ 10 ปี อย่างไรก็ตามผู้ให้บริการเดลิเวอรี่ ประสบปัญหาขาดทุนทุกรายรวมกันนับหมื่นล้านบาท เนื่องจากมีการทุ่มเม็ดเงินการตลาดเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาสู่แพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม แกร็บเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ออกมาประกาศทำกำไรภายในปีนี้

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทแกร็บ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยกับ“ฐานเศรษฐกิจ”และสื่อเครือเนชั่น ว่า ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ผลประกอบการของแกร็บ ประเทศไทย ต้องเป็นบวก โดยจะเป็นปีแรกที่บริษัททำกำไรจากการทำธุรกิจ ก่อนนำไปรวมกับประเทศอื่นๆ 8 ประเทศในภูมิภาค เพื่อผลักดันยอดผลประกอบการของบริษัทแม่แกร็บ โฮลดิ้ง ให้มีผลกำไร ตามที่ประกาศไว้ภายหลังเข้าจดทะเบียนในแนสแดก

Grab ลั่นทำกำไรก่อนสิ้นปี เร่งดันยอดใช้จ่ายต่อออเดอร์

“ปีที่ผ่านมาบริษัทแม่แกร็บ โฮลดิ้ง ขาดทุน 200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 6.9 พันล้านบาท สำหรับในประเทศไทยนั้น แกร็บประเทศไทย ตัวเลขขาดทุนของแกร็บ ประเทศไทย ปี 64 อยู่ที่ 200 ล้านบาท ส่วนปี 65 กำลังประกาศเร็วๆ นี้ก่อนสิ้นปีนี้ตัวเลขผลประกอบการต้องเป็นบวก ก่อนนำไปรวมกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค”

Grab ลั่นทำกำไรก่อนสิ้นปี เร่งดันยอดใช้จ่ายต่อออเดอร์

โดย 2 ธุรกิจหลัก คือ บริการเรียกรถ กับสั่งอาหาร สร้างรายได้มากสุด และ ช่วยผลักดันให้แกร็บมีผลกำไร ทั้งนี้บริการเรียกรถ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะนักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามา โดยบริษัทต้องพยายามเพิ่มจำนวนรถมารองรับความต้องการใช้บริการมากขึ้น ส่วนบริการสั่งอาหาร หลังโควิดคนยังสั่งอาหารผ่านแอปอยู่ เพราะคนไม่ได้กลับมาทำงานออฟฟิศ 100% โดยยังมีคนทำงานที่บ้าน ยอดสั่งซื้ออาหารผ่านแอปไม่ได้ลดลง สิ่งที่เราพยายามทำอยู่ คือ ทำอย่างไรให้การใช้จ่ายยอดต่อการสั่งออเดอร์แต่ละครั้งสูงขึ้น (Average Order Value) ซึ่งแกร็บต้องพยายามหาร้านอาหารอร่อยๆ เข้ามามากขึ้น และผลักดันโปรโมชันให้กับลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายมากขึ้น

 

“18 เดือนที่ผ่านมา แกร็บ ได้รวมร้านอร่อยยกนิ้ว #GrabThumbsUp เป็นเหมือนแบรนด์ที่เราสร้างขึ้นมาว่าเป็นร้านดังร้านอร่อยร้านคนนิยมร้านที่มีคนติดตามบนโซเชียลแล้วร้านพวกนี้ราคามันจะสูงนิดนึง ตอนนี้สิ่งที่ทำเริ่มออกดอกออกผล ทำให้ยอดสั่งต่อออเดอร์สูงขึ้น นอกจากนี้แกร็บ ยังมีแพ็กเกจสมาชิก GrabUnlimited มอบส่วนลดต่างๆมอบให้กับสมาชิก ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากโดยเห็นได้จากจำนวนสมาชิก GrabUnlimited ที่เติบโตขึ้นกว่า 3 เท่าและมีอัตราการต่ออายุสมาชิกสูงถึง 90%”

นายวรฉัตร กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันมี แกร็บมีค่าเฉลี่ยในการสั่งออเดอร์แต่ละครั้ง ในกรุงเทพ 200 กว่าบาท และ ต่างจังหวัด 100 กว่าบาท โดยมาถึงจุดที่ทำให้เราไปได้ และเชื่อว่าด้วยโมเดลดังกล่าวทำให้แกร็บมีการเติบโตแบบยั่งยืน ไม่ใช่โมเดลของการเผาเงินอีกต่อไป

“ธุรกิจสั่งอาหารสมมุติว่าเราเก็บคอมมิชชั่นร้านอาหาร 20% เราจ่ายคนขับ 30-40 บาท ถ้าลูกค้าสั่งออเดอร์ 100 บาท เราได้ค่าคอมมิชชั่นจากร้านอาหาร 20 บาท แต่เราจ่ายคนขับ 40 บาท แปลว่า 1 ออเดอร์ เราขาดทุนทันที 20 บาท โดยไม่รวมอะไรค่าใช้จ่ายอย่างอื่น เช่น ค่าพัฒนา App ค่าคน และทุกรายการมีโปรโมชัน แปลว่าเราอาจ 30-40 บาท ต่อหนึ่งออเดอร์ แต่ถ้าลูกค้าส่งออเดอร์ 200 บาท เราได้คอมมิชชันจากร้านอาหาร 40 บาท เราจ่ายให้คนขับ 40 บาท อันนี้เริ่มเสมอตัว ซึ่งเราพยายามปรับโปรโมชันให้ตรงกับความต้องการลุกค้าที่ใช้จ่ายมากกว่า 200 บาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง”

ส่วนรายได้จากธุรกิจอื่นๆ นั้นแกร็บมีบริการสินเชื่อสำหรับพาร์ทเนอร์คนขับ ที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ ธุรกิจดังกล่าวนั้นมีต้นทุนต่ำ ใช้คนน้อย ขณะที่ธุรกิจที่ต้องการมุ่งเน้นเพิ่มเติม คือ B2B ภายใต้บริการ Grab for Business แพลตฟอร์มดิจิทัลแบบครบวงจรที่ช่วยจัดการความต้องการทางธุรกิจในแต่ละวันของบริษัท ตั้งแต่การเดินทางเพื่อธุรกิจ การสั่งอาหาร การจัดส่งพัสดุ ไปจนถึงบัตรของขวัญสำหรับการมอบบัตรของขวัญทั้งในองค์กรหรือใช้ในการส่งเสริมการขาย นอกจากนี้ยังมีบริการ Grab ads ที่เปิดให้แบรนด์โฆษณาผ่าน Grab โดยบริการเหล่านี้สามารถทำกำไรได้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้บริการ