นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน แบบครบวงจร เปิดเผยว่าปีที่ผ่านมาบลูบิคขยายธุรกิจไปต่างประเทศผ่านการให้บริการหลายหลายและครอบคลุม ทั้งประเทศอังกฤษ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
ล่าสุดได้ขยายตลาดสู่เวียดนาม โดยการจัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท บลูบิค (เวียดนาม) จำกัด ขึ้นมา เพื่อขยายการให้บริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ในเวียดนาม โดยเวียดนามเป็นประเทศที่กำลังถูกจับตามองจากนักลงทุนทั่วโลก สะท้อนผ่านจำนวนเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่อยู่ระดับสูง อีกทั้งภาพรวมของเศรษฐกิจเวียดนามยังคงเติบโตท่ามกลางความผันผวนของ เศรษฐกิจโลก โดย GDP ของประเทศเวียดนามในปี 2565 เติบโตถึง 8.02%
นอกจากนี้การสนับสนุนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจากภาครัฐที่มีเป้าหมายนำเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้าไปพัฒนาระบบของทุกอุตสาหกรรม รวมถึงการขยายเครือข่ายการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตระดับครัวเรือนให้ครอบคลุม 80% ของประเทศนั้น จะเป็นกลไกสำคัญที่กระตุ้นให้ความต้องการนำเทคโนโลยีไปใช้งานทั้งภาครัฐและเอกชนในเวียดนามเป็นไปอย่างน่าสนใจ
จากการศึกษาโอกาสทางธุรกิจในประเทศเวียดนาม พบว่ามีความต้องการในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอีกมากจากปัจจัยสนับสนุนของภาครัฐและภาคเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสของบริษัทฯในการเข้าไปจับตลาดในประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะบริการส่วนงานด้านพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งอยู่ภายใต้หน่วยงาน Digital Excellence & Delivery
“เชื่อว่า บริษัท บลูบิค (เวียดนาม) จำกัด ที่เพิ่งจัดตั้งไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 อีกทั้งการเข้าซื้อหน่วยงาน Digital Delivery ของ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา จะสามารถรองรับความต้องการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เชื่อมั่นว่าการขยายธุรกิจในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้จากตลาดต่างประเทศของบริษัทฯ ที่คาดว่าจะมีสัดส่วน 10 - 20% ของรายได้รวมในปี 2566 หรือประมาณ 50 ล้านบาท
สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2565 (YoY) บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 425 ล้านบาท เติบโตขึ้นราว 115% และมีกำไรสุทธิแตะ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 119% โดยมีรายได้จากต่างประเทศมากกว่า 42 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนราว 10% ของรายได้รวม ซึ่งการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้ง 3 ไตรมาส ผนวกกับยอดรอรับรู้รายได้จากแบ็คล็อก (Backlog) สะสมอีก 431 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทฯ และความสำเร็จจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ 3 ปีที่ต้องการเติบโตอย่างน้อยปีละ 70% อย่างต่อเนื่อง