บลูบิค ตั้ง บ.ย่อย สยายปีกบริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในเวียดนาม

10 ม.ค. 2566 | 17:36 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ม.ค. 2566 | 00:46 น.

บลูบิค กรุ๊ป ตั้งบริษัทย่อยในเวียดนาม หลังรัฐบาลหนุนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจริงจัง สยายปีกยุทธศาสตร์สำคัญสร้างรายได้ต่างประเทศ ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน  แบบครบวงจร เปิดเผยว่าปีที่ผ่านมาบลูบิคขยายธุรกิจไปต่างประเทศผ่านการให้บริการหลายหลายและครอบคลุม ทั้งประเทศอังกฤษ สิงคโปร์  และอินโดนีเซีย  

บลูบิค ตั้ง บ.ย่อย สยายปีกบริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในเวียดนาม

ล่าสุดได้ขยายตลาดสู่เวียดนาม  โดยการจัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท บลูบิค (เวียดนาม) จำกัด  ขึ้นมา  เพื่อขยายการให้บริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ในเวียดนาม   โดยเวียดนามเป็นประเทศที่กำลังถูกจับตามองจากนักลงทุนทั่วโลก สะท้อนผ่านจำนวนเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่อยู่ระดับสูง อีกทั้งภาพรวมของเศรษฐกิจเวียดนามยังคงเติบโตท่ามกลางความผันผวนของ   เศรษฐกิจโลก โดย GDP ของประเทศเวียดนามในปี 2565 เติบโตถึง 8.02%

นอกจากนี้การสนับสนุนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจากภาครัฐที่มีเป้าหมายนำเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้าไปพัฒนาระบบของทุกอุตสาหกรรม รวมถึงการขยายเครือข่ายการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตระดับครัวเรือนให้ครอบคลุม 80% ของประเทศนั้น จะเป็นกลไกสำคัญที่กระตุ้นให้ความต้องการนำเทคโนโลยีไปใช้งานทั้งภาครัฐและเอกชนในเวียดนามเป็นไปอย่างน่าสนใจ 

 

จากการศึกษาโอกาสทางธุรกิจในประเทศเวียดนาม พบว่ามีความต้องการในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอีกมากจากปัจจัยสนับสนุนของภาครัฐและภาคเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสของบริษัทฯในการเข้าไปจับตลาดในประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะบริการส่วนงานด้านพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งอยู่ภายใต้หน่วยงาน Digital Excellence & Delivery

“เชื่อว่า บริษัท บลูบิค (เวียดนาม) จำกัด ที่เพิ่งจัดตั้งไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 อีกทั้งการเข้าซื้อหน่วยงาน Digital Delivery ของ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา จะสามารถรองรับความต้องการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี   เชื่อมั่นว่าการขยายธุรกิจในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้จากตลาดต่างประเทศของบริษัทฯ ที่คาดว่าจะมีสัดส่วน 10 - 20% ของรายได้รวมในปี 2566   หรือประมาณ 50 ล้านบาท

 

สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2565 (YoY) บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 425 ล้านบาท เติบโตขึ้นราว 115% และมีกำไรสุทธิแตะ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 119% โดยมีรายได้จากต่างประเทศมากกว่า 42 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนราว 10%  ของรายได้รวม ซึ่งการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้ง 3 ไตรมาส ผนวกกับยอดรอรับรู้รายได้จากแบ็คล็อก (Backlog) สะสมอีก 431 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบริษัทฯ และความสำเร็จจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ 3 ปีที่ต้องการเติบโตอย่างน้อยปีละ 70% อย่างต่อเนื่อง