นางสาวโจแอน แวง Sales Director บริษัท Synology Inc จำกัด เปิดเผยว่า Synology จะดำเนินการนำเสนอโซลูชันการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบใหม่ในปี 66 ภายใต้ชื่อ Synology Scale Out ซึ่งจะเน้นความสามารถในการขยายความจุมากกว่า 12PB โดยเพิ่มคลัสเตอร์ได้ และออกแบบขึ้นมา โดยคำนึงถึงความยืดหยุ่นที่เน้นการทำงานแบบไม่มีจุดล้มเหลวแม้เพียงจุดเดียวหรือไม่มีเหตุการณ์ใดที่ทำให้การทำงานหยุดชะงัก
ทั้งนี้ ด้วยความที่ส่วนแบ่งการตลาด(Market Share) ในกลุ่ม NAS มีค่อนข้างเยอะ แต่ละแบรนด์ ก็มีความแตกต่างกันไป การพัฒนาผลิตภัณฑ์จึงมุ่งไปที่การตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานด้านการจัดการข้อมูลเป็นหลัก ถือเป็นกลยุทธ์หลักที่เราให้ความสำคัญ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างไม่หยุดนิ่ง
ดังนั้น Synology จึงมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ผู้ใช้งานตั้งแต่การใช้งานภายในบ้าน ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยโซลูชันที่บูรณาการฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกัน และเป็น One Stop Solution และ One Stop Service ให้กับผู้ใช้งาน
"ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานขององค์กรต่าง ๆ อย่างมาก Synology เข้าไปมีส่วนซับพอร์ตในหลายธุรกิจ ให้ก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ได้ เช่น Synology Drive ทำให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น แม้ต้องทำงานที่บ้าน, Active Backup for Business ช่วยสำรองข้อมูลจากหลาย ๆ แพลตฟอร์มกลับมาที่ NAS ได้ในคอนโซลเดียว เป็นต้น"
อย่างไรก็ดี อีกปัจจุัยหนึ่งที่ทำให้ Synology แตกต่าง คือ ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เลือกได้ตามความต้องการใช้งานและต้นทุนที่กำหนด ลดภาระค่าใช้จ่าย ด้านซอฟต์แวร์ เพราะเป็นซอฟแวร์ที่ใช้งานโดยไม่เสียค่าบริการ ไม่มีค่าใช้จ่ายสิทธิ์การใช้งานเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า โควิด-19 จะมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่ Synology มองว่า Digital Transformation ก็ยังคงเป็นสิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญและต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกองค์กรยังต้องคำนึงถึงคือการคุมค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบ ซึ่งโซลูชันของเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการตรงจุดนี้ให้กับธุรกิจ
“เพราะความปลอดภัยด้านข้อมูลของลูกค้า คือสิ่งสำคัญ Synology จึงนำเสนอโซลูชันใหม่ ๆ ภายใต้หลักการของการพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านการจัดการข้อมูล ที่มุ่งเน้นการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายใต้ต้นทุนที่คุ้มค่า"
ที่ผ่านมการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมทั่วโลกกว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐหรือกว่า 21,633,240,000 บาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีประมาณ 20-30% โดยตั้งเป้ายอดเติบโตประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 36,055,400,000 บาท ให้ได้ภายในปี 2568
"โซลูชันใหม่ที่นำเสนอในช่วงนี้ จะมุ่งเน้นให้ทุกธุรกิจ ก้าวข้ามผ่านความท้าทายในช่วง Digital Transformation โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่อง Hybrid Solution ที่ช่วยให้ธุรกิจปรับตัว เพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงของข้อมูลทั้งในแง่ปริมาณที่เพิ่มขึ้น การรักษาความปลอดภัยและการเข้าถึงข้อมูลจากหลายจุด ตามการเติบโตขององค์กร โดยการผนวกโซลูชันทั้งแบบ On-Premise และ Public Cloud ที่พัฒนาโดย Synology เองทั้งหมด ทำให้ควบคุมต้นทุนและกำหนดโซลูชันเองได้ เพื่อความยืดหยุ่นของผู้ใช้งาน”
นางสาวธัชวรรณ ชินชนากานต์ Regional Sales Manager (ASEAN) กล่าวถึงกลยุทธ์การทำธุรกิจในส่วนของประเทศไทยในปี 2566 ว่า สำหรับแผนการตลาดในประเทศนั้น ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMB) ยังคงเป็นตลาดหลัก แต่ที่ผ่านมาก็เห็นการเติบโตที่แข็งแกร่งในตลาดกลุ่มเอ็นเตอร์ไพรส์มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้ใช้งานตามบ้าน เราเห็นถึงความต้องการในการทดแทน External HDD ด้วย NAS และความต้องการสำรองรูปภาพ ซึ่งเป็นทิศทางที่ Synology ต้องการจะโฟกัสไปในปี 2566 ซึ่งต้องบอกเลยว่า ปัจจุบันข้อมูลมีค่ามากกว่าทอง การจัดการข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและเมื่อธุรกิจเติบโตข้อมูลก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ การรับมือกับข้อมูลที่เพิ่มขึ้นนี่เอง ที่ทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องหันมาสนใจเรื่องการจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ