รายงานจากเลอโนโวซึ่งถูกเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้เผยให้เห็นว่า เทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันเป็นตัวผลักดันที่สำคัญให้ การทำงานจากที่บ้าน หรือ work from home (WFH) แพร่หลายมากขึ้นในองค์กร รวมถึงมาตรการและนโยบายจากภาครัฐเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ที่ส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุนแนวทางการทำงานจากที่บ้านเพื่อเพิ่มระยะห่างทางสังคม ร่วมกับนานาประเทศทั่วโลก
นายธเนศ อังคศิริสรรพ, ผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคอินโดจีน, เลอโนโว กล่าวว่า“จากผลสำรวจ เราพบว่าการทำงานของพนักงานในองค์กรยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ก่อนเกิดการแพร่ระบาด โดยตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา จำนวนของพนักงานที่ทำงานจากที่บ้านมีการเพิ่มขึ้นถึงกว่า 159% ในประเทศสหรัฐอเมริกาและเราเริ่มเห็นการเติบโตในรูปแบบเดียวกันในประเทศไทย อีกทั้งสถานการณ์ที่ไม่ปกติในปัจจุบัน ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนถึงการยอมรับ และความร่วมมือด้านการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในหมู่พนักงานสำหรับการทำงาน ซึ่งสร้างความคุ้มค่าด้านการลงทุนทางเทคโนโลยีขององค์กรอย่างชัดเจน อีกทั้งยังแสดงให้พนักงานเห็นถึงประสิทธิภาพของการทำงานที่แม้จะทำจากที่บ้าน หรือนอกสถานที่ ก็ไม่ด้อยไปกว่าการทำงานที่ออฟฟิศ เลอโนโวเชื่อว่าเทรนด์การทำงานดังกล่าวจะเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นแม้หลังการแพร่ระบาดของไวรัส”
ผลสำรวจด้านทัศนคติต่อการทำงานในแบบ WFH ที่เลอโนโวจัดทำขึ้นโดยสำรวจพนักงานในประเทศจีน ญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลี และสหรัฐอเมริกา พบว่า 87% ของพนักงานที่ถูกสำรวจพร้อมเปลี่ยนการทำงานให้เป็นแบบ WFH โดยกว่า 46% ได้รับการส่งเสริมจากบริษัท และกว่า 26% ถูกมอบหมายให้ทำงานจากที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 นอกจากนี้ยังพบว่า กว่า 77% ของพนักงานที่ถูกสำรวจคาดหวังให้บริษัทมีนโยบายสนับสนุนการทำงานจากที่บ้านต่อไปในอนาคตหลังการแพร่ระบาดยุติลง
การปรับแผนการทำงานขององค์กรให้เอื้อต่อการทำงานแบบ WFH เป็นไปได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากประสิทธิภาพ และราคาที่เข้าถึงได้ของโมบาย เทคโนโลยี นอกจากนี้อายุของกลุ่มคนทำงานก็เป็นตัวแปรที่สำคัญ โดยปัจจุบัน 60% ของคนทำงานคือคนในกลุ่ม Millennials และ Generation Z ซึ่งเติบโตมากับการใช้เทคโนโลยีอย่างvideo ทั้งเพื่อการเล่นเกม ซื้อสินค้า และการสื่อสาร ซึ่งคนกลุ่มนี้เองมีผลในการผลักดันการใช้เทคโนโลยีเพื่อการทำงานนอกสถานที่ให้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ การค้นหาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพเพื่อเข้าร่วมองค์กรก็เป็นปัจจัยอีกส่วนที่ทำให้ธุรกิจต้องเริ่มให้ความสำคัญกับสถานที่ทำงาน เทคโนโลยีที่ใช้ และวัฒนธรรมการทำงาน โดยรายงานจาก Harvard Business School ประจำปี 2018 ซึ่งสำรวจผู้นำทางธุรกิจกว่า 6,500 คน โดย กว่า 60% ของบุคคลเหล่านี้คาดการณ์ว่า การทำงานที่มีความยืดหยุ่นจะเป็นสิ่งที่คนทำงานในอนาคตให้ความสำคัญ
“ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เทคโนโลยีคือตัวผลักดันที่จะทำให้ธุรกิจเดินหน้า องค์กรจำเป็นต้องจัดหาเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกในการสื่อสารผ่าน Video หรือเครื่องมือสำหรับการเทรนพนักงานแม้จะไม่เจอหน้าแบบตัวต่อตัว เพื่อความสำเร็จของธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต”