บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ผู้นำด้านพลังงานสีเขียวแบบครบวงจรประกอบธุรกิจหลักใน 3 ด้าน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพลังงงาน กลุ่มธุรกิจวิศวกรรม และ Turnkey และกลุ่มธุุรกิจอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง โดยครอบคลุมการดําเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับระบบไฟฟ้าแบบครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย
โดยตั้งเป้าหมายจะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ครบ 2,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2570 ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนตํ่าและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 ของประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายใน ปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) โดยมีเป้าหมายที่จะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงปีละ 5%
นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานสีเขียวสะสม 2,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2570 ซึ่งการขับเคลื่อนดังกล่าวจะดำเนินงานภายใต้ 3 กลุยทธ์หลัก ได้แก่
1.Build Business Muscles การสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจเดิม และธุรกิจในอุตสาหกรรมใหม่ ที่ GUNKUL สามารถสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน มุ่งเน้นการเติบโตรายได้ของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก และต่อยอดสู่ธุรกิจในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ
2.Trim Operational Fat การปรับกระบวนการทำงานให้เอื้อต่อการเติบโต ลดขั้นตอนและต้นทุนการดำเนินงานที่ไม่จำเป็นออก มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการโรงไฟฟ้าแบบ 100% เพื่อให้เกิดการจัดสรรบุคลากร และเวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการศึกษาเรื่องของโอกาสในการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกล้ามเนื้อทางธุรกิจอย่างจริงจัง
3.Create Stakeholder Impact ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืนแบบไม่ฉาบฉวยมุ่งเน้นความยั่งยืนเป็นพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลทุกภาคส่วนอย่างเหมาะสม
ปัจจุบัน GUNKUL มีโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียวตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ได้เข้าไปลงทุนอยู่ใน 4 ประเทศ ได้แก่ไทย ญี่ปุ่น เวียดนาม และมาเลเซีย อยู่ที่ 1,479 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบติดตั้งบนพื้นดินหรือโซลาร์ฟาร์ม 1,038.89 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม 265 เมกะวัตต์ โซลาร์รูฟท็อป 3 เมกะวัตต์ และ Private PPA 172.26 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ กำลังผลิตดังกล่าว เป็นโครงการที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 647 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา 832 เมกะวัตต์ ที่มีแผนจะก่อสร้างแล้วเสร็จและทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในช่วง 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไปจนถึงปี 2573 โดยจะใช้เงินลงทุนอีกราว 38,000 ล้านบาท ในการพัฒนากำลังการผลิตดังกล่าว อีกทั้งตั้งเป้าหมายไว้ว่าเมื่อถึงปี 2570 บริษัท จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนขึ้นไปอยู่ที่ 2,000 เมกะวัตต์
สำหรับในปี 2569 จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์ม ทยอยเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบราว 117 เมกะวัตต์ ปี 2571 เดินเครื่องเชิงพาณิชย์อีก 48 เมกะวัตต์ ส่วนปี 2572 จะมีโซลาร์ฟาร์มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์อีก 264 เมกะวัตต์ พลังงานลม 90 เมกะวัตต์ และโซลาร์ฟาร์มบวกระบบกักเก็บพลังงานอีก 18 เมกะวัตต์ ส่วนปี 2573 จะมีโซลาร์ฟาร์มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ 80 เมกะวัตต์ โซลาร์ฟาร์มบวกระบบกักเก็บพลังงาน 66 เมกะวัตต์ และพลังงานลม 90 เมกะวัตต์
นางสาวนฤชล กลาวอีกว่า สำหรับกำลังผลิตใหม่ที่จะเข้ามาในช่วง 3 ปีนี้(2568-2570) บริษัท มองว่าโอกาสจะมาจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือแผนพีดีพี ที่กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำร่าง ที่มองว่ามีการบรรจุพลังงานหมุนเวียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพื่อเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศจะโฟกัสใน 3 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ที่มีแผนจะลดการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินลง ขณะที่ไต้หวันและออสเตรเลีย มีแผนการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น คาดว่าจะได้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอีกราว 150 เมกะวัตต์ หรือตกประเทศละ 50 เมกะวัตต์
ส่วนธุรกิจใหม่ บริษัทพร้อมทั้งเดินหน้าต่อยอดธุรกิจแบตเตอรี่ ทั้งในระดับเชิงพาณิชย์และระดับโครงข่าย และศึกษาโอกาสในการทำธุรกิจพลังงานสีเขียวใหม่ ๆ เช่น SMR, Green hydrogen เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัท มีเป้าหมายการเติบโตในช่วง 3-5 ปี ไม่ตํ่ากว่า 15% จากการพัฒนาโครงการพลังงานทั้งโครงการ พลังงานลม และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่ระหว่างการสร้างและพัฒนา 832 เมกะวัตต์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง