ส่องรายได้-กำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน บริษัทไหนรุ่ง-ร่วง

03 มี.ค. 2568 | 11:29 น.
อัปเดตล่าสุด :03 มี.ค. 2568 | 12:36 น.

ส่องรายได้ กำไรหุ้นกลุ่มพลังงานปี 2567 หลังรายงานผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทไหนรุ่งหรือร่วง ฐานเศรษฐกิจรวบรวมข้อมูลไว้ให้แล้วที่นี่ ทั้งกลุ่ม ปตท. GULF EA

บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต่างทยอยรายงานผลประกอบการของไตรมาส 4/67 และทั้งปี 67 ออกมาตามลำดับ มีทั้งที่รายได้หด กำไรลด และรายได้เพิ่ม แต่กำไรน้อยลง

ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ“ จะพาไปตรวจสอบหุ้นกลุ่มพลังงานว่าเป็นอย่างไรรุ่ง หรือร่วง

เริ่มต้นกันที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานอย่าง ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และบริษัทในเครือ โดยมีกำไรสุทธิรวมทั้งหมด 155,563.98 ล้านบาท ลดลง 29.62% จากปี 2566 ที่ทำได้ 221,037.69 ล้านบาท ประกอบด้วย

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT

มีกำไร 90,072.03 ล้านบาท ลดลง  19.6% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีกำไร 112,023.88 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 4/67 มีกำไร 9,311 ล้านบาท ลดลง 71.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 43.0% จากไตรมาสก่อน 

โดยในไตรมาส 4/67 บริษัทปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 93,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,321 ล้านบาทหรือ 6.0% จากไตรมาส 4/66 ที่จำนวน 87,970 ล้านบาท 

ซึ่งมาจากกลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกมีผลการดำเนินงานดีขึ้นตามกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรของน้ำมันเบนซินและปริมาณขายภาพรวมที่ปรับเพิ่มขึ้น 

ส่องรายได้-กำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน บริษัทไหนรุ่ง-ร่วง

นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานดีขึ้นโดยธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากกำไรสต๊อกน้ำมันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น ซึ่งมีกำไรประมาณ 1,000 ล้านบาท 

ขณะที่ในไตรมาส 4/66 ขาดทุนประมาณ 12,000 ล้านบาท แม้ว่ากำไรขั้นต้นจากการกลั่น(Market GRM) และปริมาณขายปรับลดลง 

ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยตามส่วนต่างราคาผลิตภัณธ์กับวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง แม้ว่าปริมาณขายปรับเพิ่มขึ้นส่วนกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานลดลงจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซจากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น 

อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ที่ลดลง จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น แม้ว่า EBITDA เพิ่มขึ้นดังกล่าว ประกอบกับในไตรมาส 4/67 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำสุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นขาดทุนประมาณ 5,100 ล้านบาท โดยหลักจากค่าใช้จ่ายตอบแทนส่วนแบ่งกำไรสำหรับบริหารการลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มของ ปตท. โกลบอล แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ PTTGM ประมาณ 2,200 ล้านบาท 

และประมาณการหนี้สินจากค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของกลุ่มบริษัท Vencorex และบริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด หรือ PTTAC ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)ประมาณ 2,200 ล้านบาท 

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP

กลุ่มไทยออยล์มีกําไรสุทธิ 9,959 ล้านบาท ลดลง 9,484 ล้านบาท หรือ -48.78% จากปี 2566 ที่ 19,443.17 ล้านบาท โดยมีอัตราการใช้กําลังการกลั่นลดลง เนื่องจากมีการหยุดเดินเครื่องนอกแผนของหน่วยกลั่นนํ้ามันดิบที่ 3 เป็นเวลา 13 วัน ในเดือนมกราคม 2567 และมีการหยุดซ่อมบํารุงตามแผนของหน่วยกลั่นนํ้ามันดิบที่ 1 และหน่วยที่เกี่ยวข้อง เป็นเวลา 11 วัน ในเดือนพฤษภาคม 2567

รวมถึงราคาขายผลิตภัณฑ์หลายผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 455,857 ล้านบาท ลดลง 3,545 ล้านบาท ด้านกําไรขั้นต้นจากการกลั่นปรับลดลงจากส่วนต่างราคานํ้ามันเบนซิน นํ้ามันอากาศยาน/นํ้ามันก๊าดและนํ้ามันดีเซลกับนํ้ามันดิบดูไบที่ปรับลดลง จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นใหม่เริ่มดําเนินการ

นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์รับรู้ขาดทุนจากสต๊อกนํ้ามัน 5,913 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 5,105 ล้านบาทช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากราคานํ้าดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2567 ปรับลดลงจากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจโลก ได้แก่ สหรัฐ และจีน

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP

กำไรจากการดำเนินงานปกติลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า แม้ว่าปริมาณขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% มาอยู่ที่ 488,794 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากการเพิ่มกำลังการผลิตของโครงการจี 1/61 ตามแผนงาน และการรับสัดส่วนการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการยาดานาภายหลังการถอนการลงทุนของผู้ร่วมทุน

โดยราคาขายเฉลี่ยของบริษัทปรับลดลง 3% มาอยู่ที่ 46.78 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ประกอบกับต้นทุนต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น 7% มาอยู่ที่ 29.58 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ จึงทำให้กำไรจากการดำเนินงานปกติลดลง

อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,227 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากในปี 2566 มีการรับรู้ผลขาดทุนที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติจากการด้อยค่าสินทรัพย์โครงการโมซัมบิก ในขณะที่ปี 2567 ไม่มีรายการดังกล่าว

ส่องรายได้-กำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน บริษัทไหนรุ่ง-ร่วง

บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC

มีกําไรสุทธิของบริษัทฯ มีมูลค่า 4,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 368 ล้านบาทหรือ 10% เมื่อเทียบ กับปี 2566 โดยหลักจากกําไรขั้นต้น 20,984 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,122 ล้านบาทหรือ 6% สาเหตุหลักมาจาก โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่เพิ่มขึ้น 3,057 ล้านบาท เนื่องมาจากปริมาณความต้องการไฟฟ้าและไอน้ําของลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

รวมถึงบริษัทฯ ได้มี การบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิง ทั้งก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าค่า Ft ซึ่งเป็นองค์ประกอบบางส่วน เฉพาะ ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าที่ส่งผลต่อราคาขายไฟฟ้าอุตสาหกรรมจะลดลงก็ตาม แต่บริษัทฯ ยังคงมีโครงสร้างรายได้หลักในส่วนของไฟฟ้า ไอน้ําที่ ส่งผ่านต้นทุนได้ โรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ลดลง 2,021 ล้านบาท เนื่องจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน มีค่าเชื้อเพลิงส่วนต่าง (Energy margin) ลดลง

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ (OR)

มีกําไรสุทธิ จํานวน 7,650 ล้านบาท ลดลง 3,444 ล้านบาทจากปี 2566 หรือ -31.0% คิดเป็นกําไรต่อหุ้น 0.64 บาท โดยปี 2567 OR มีรายได้ขายและบริการ 723,958 ล้านบาท ลดลง 45,783 ล้านบาท (-5.9%) จากปี 2566 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากปริมาณจําหน่ายน้ํามันที่ลดลง และราคาน้ํามันในตลาดโลกเฉลี่ยปรับลดลงของกลุ่มธุรกิจ Mobility โดยรายได้ขายลดลง 7.4%

ส่วนธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 8.2% ตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นของทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ กลุ่มธุรกิจ Global ปรับเพิ่มขึ้น 10.9% ตามปริมาณจําหน่ายน้ํามันที่เพิ่มขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์เป็นหลัก

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC

ขาดทุนสุทธิที่ 29,810.55 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 กำไรสุทธิ 999.13 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายรวม 604,045 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 2% โดยมีสาเหตุสําคัญมาจากรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นที่ปรับตัวลดลงจากราคาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสําเร็จรูปและกลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ลดลง

ในภาพรวมในปี 2567 บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 31,766 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 17% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากผลประกอบการของกลุ่มผลิตภัณฑ์โรงกลั่นที่อ่อนตัวลงตาม GRM

นอกจากนี้บริษัทฯ รับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดําเนินงานปกติ ได้แก่ ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ํามัน (Stock loss) และรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้ เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV) รวม 2,457 ล้านบาท กําไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและกําไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวม 383 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากเงินลงทุนที่รับรู้ในปีนี้จํานวน 1,462 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเนื่องจากผลประกอบการของธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลงในปีนี้โดยเฉพาะธุรกิจโพลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) ที่ปรับลดลงตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PVC เป็นหลัก

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC 

ขาดทุนสุทธิ 5,193 ล้านบาท ขาดทุนมากกว่าปี 2566 ที่ 78% โดยมีรายได้จากการขายสุทธิสำหรับปี 2567 จำนวน 281,711 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งมีสาเหตุจากปริมาณขายลดลง 4% และราคาขายเฉลี่ยลดลง 2% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง

สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาดที่ลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบดูไบ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับราคาแนฟทาปรับตัวเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ มีบันทึกค่าเสื่อมราคา 9,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน เป็นผลจากสินทรัพย์ที่เพิ่มจากโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) ที่มีการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2567 ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 2,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นตามตลาด 

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากการด้อยค่า และตัดจำหน่ายทรัพย์สินจำนวน 566 ล้านบาท โดยหลักมาจากบันทึกด้อยค่าเงินลงทุนของบริษัทย่อยและบริษัทร่วม และบันทึกการกลับรายการด้อยค่าที่ดิน

ส่องรายได้-กำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน บริษัทไหนรุ่ง-ร่วง

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA 

ผลประกอบการปี 2567 มีรายได้รวม 18,522.41 ล้านบาท ลดลง 39.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้ 30,407.99 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม EA มีการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่สร้างผลกำไรสูง และมุ่งในการพัฒนาและขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยใช้นวัตกรรมจากคนไทย และลงทุนต่อยอดในธุรกิจเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) 

ไตรมาส 4/2567: มีรายได้รวม 4,124.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (Q3/2567) แต่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 33.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (Q4/2566)

กำไรสุทธิ: ขาดทุนสุทธิ 9,305.63 ล้านบาทในไตรมาส 4/2567 สาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองทางบัญชีรายได้จากธุรกิจหลักร่วง ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ ไบโอดีเซล และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ยกเว้นธุรกิจอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการกำจัดขยะมูลฝอย

บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG 

ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทสามารถสร้างรายได้และผลกำไรอย่างต่อเนื่องจากการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์ฟาร์ม โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 455.2 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 127.8 ล้านบาท

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2567 สามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งสิ้นจำนวน 372.5 ล้านหน่วย ส่งผลให้มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 2,049.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 746.8 ล้านบาท ชะลอตัวจากปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 4,125.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,973.9 ล้านบาท

เนื่องจากโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 36 แห่ง ได้สิ้นสุดระยะเวลาได้รับรายได้เงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่อัตรา 8 บาทต่อหน่วย และรายได้จากธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือโซลาร์รูฟ ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้รับ Adder แต่โครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงมีศักยภาพสร้างรายได้และผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF 

มีกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 18,170,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14,857,734 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม (total revenue) เท่ากับ 124,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จาก 116,951 ล้านบาท ในปี 2566

นอกจากนี้ ในปี 2567 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) จำนวน 6,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จาก 6,101 ล้านบาท ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ ADVANC ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจาก ARPU ที่เพิ่มขึ้น จากการมุ่งเน้นจำหน่ายแพ็กเกจที่มีมูลค่าสูงขึ้น ประกอบกับการขยายฐานผู้ใช้บริการ และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2567 จำนวน 39,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับ 35,370 ล้านบาท ในปี 2566 ในขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในปี 2567 เท่ากับ 18,170ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จาก 14,858 ล้านบาท ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิที่ลดลง โดยในปี 2567 บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 176 ล้านบาท เทียบกับ 576 ล้านบาท ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group 

ปี 2567 บริษัทรับรู้รายได้รวม 46,341 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 9,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และมีกำไรสุทธิ 5,412 ล้านบาท

ส่องรายได้-กำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน บริษัทไหนรุ่ง-ร่วง

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือGUNKUL

ปี 2567 กำไรสุทธิ 1,661.08 ล้านบาทเติบโต 12.62% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ทำได้ 1,474.89 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจหลัก ทั้งการขายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า ธุรกิจก่อสร้างและให้บริการ รวมถึงกำไรจากการต่อรองราคาซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 

รายได้รวมปี 2567 ของพุ่งแตะ 9,731.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.42% จากปีก่อนหน้าที่ 7,697.57 ล้านบาท โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากรายได้จากการขายสินค้าโต 28.27% คิดเป็น 2,344.38 ล้านบาท จากความต้องการอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากหน่วยงานการไฟฟ้าและภาคเอกชน

รายได้จากการก่อสร้างและให้บริการ: พุ่งถึง 77.10% คิดเป็น 3,735.78 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ

กำไรจากการต่อรองราคาซื้อ: จำนวน 136.84 ล้านบาท จากการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมในบริษัทร่วมค้า ทำให้ GUNKUL มีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 100%

บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE

ไตรมาส 4/2567 ยังไม่รวมรายได้จากกลุ่ม ABM บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 46.31 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและบริการ 2,855.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.55% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,840.1 ล้านบาทขณะที่รายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ อยู่ที่ 137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2%

สำหรับผลประกอบการที่กลับมามีกำไรสุทธิ ในไตรมาส 4/2567 เป็นผลมาจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของ ภาพรวมอุตสาหกรรมถ่านหินทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เนื่องจากถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนถูกเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น โดยปริมาณการขายถ่านหินรวมในปี 2567 อยู่ที่ 3.8 ล้านตัน  เพิ่มขึ้น 3% จากปริมาณการขายถ่านหินในต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น