net-zero

จี้รัฐเปิดตลาดเสรีไฟฟ้า รองรับจัดหาพลังงานสะอาด ดูด FDI

    การศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ถึงการพัฒนาพลังงานสะอาดของประเทศไทยให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต และราคาเป็นธรรมกับผู้บริโภค รัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นลำดับขั้นตอน

ทั้งนี้ พบว่าไทยตั้งเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ล่าช้ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่นเดียวกับเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ที่ช้ากว่าสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และสปป.ลาว กว่าหนึ่งทศวรรษ โดยไทยตั้งเป้าหมายไว้ที่ปี 2065 ซึ่งความไม่ชัดเจนของของเป้าหมายการเปลี่ยนผ่าน เสี่ยงต่อการลดทอนความสามารถทางการแข่งขันและการลงทุนของประเทศ

ดังนั้น หากภาครัฐไม่มีเป้าหมายเรื่องของไฟสะอาด และการขาดกลไกการขับเคลื่อนอย่างตลาดไฟฟ้าเสรีที่ชัดเจนจะนำมาสู่ความเสี่ยงใน 3 มิติที่สำคัญ ได้แก่

1.ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ต้องการพลังงานสะอาด จำเป็นต้องพึ่งพา Utility Green Tarifs (UGT) ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าค่าไฟฟ้าปกติ หากไม่มีการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้า เพื่อเร่งผลิตพลังงานสะอาด ต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

จี้รัฐเปิดตลาดเสรีไฟฟ้า รองรับจัดหาพลังงานสะอาด ดูด FDI การลดลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งไทยจะเสี่ยงต่อการสูญเสียการลงทุนจากต่างประเทศที่อาจจะมากถึง 45% โดยเฉพาะจากประเทศที่เป็นผู้นำการลงทุน เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 1.95 ล้านล้านบาทในช่วงปี 2018-2023 นอกจากนั้น อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น Bio-Circular-Green Economy และ Next-Gen Automotive มีความต้องการพลังงานสะอาดในการดำเนินธุรกิจเช่นกัน แต่หากไม่สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ ประเทศไทยจะสูญเสียโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

รวมถึงการสูญเสียตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลก บริษัทข้ามชาติที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง หากไทยยังไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดได้เพียงพอบริษัทเหล่านี้อาจย้ายห่วงโซ่อุปทานไปยังประเทศที่มีความพร้อมมากกว่า เช่น เวียดนาม หรือ อินโดนีเชีย ซึ่งจะทำให้ไทยเสียบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก

2.ผลกระทบด้านสังคม ที่มีผลจากการพัฒนาธุรกิจสีเขียวในประเทศไทยยังล่าช้า แรงงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเขียวเติบโตเพียง 1% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจดั้งเดิมหรือ “ธุรกิจสีนํ้าตาล” ค่อย ๆ หดตัว การเปลี่ยนแปลงที่ล่าช้านี้ อาจทำให้ไทยสูญเสียตำแหน่งงานกว่า 11 ล้านตำแหน่งในอนาคต

นอกจากนี้ จะสร้างความเหลื่อมลํ้าที่เพิ่มขึ้น เพราะแรงงานที่มีทักษะด้านพลังงานสะอาดมีรายได้สูงกว่าแรงงานกลุ่มอื่นๆอย่างชัดเจน หากไม่มีการเปิดเสรีไฟฟ้า เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาทักษะ Reskil และ Upskill จะยิ่งทำให้ช่องว่างความเหลื่อมลํ้าในสังคมรุนแรงขึ้น

3.ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หากประเทศไทยยังไม่มีการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี การพึ่งพาพลังงานฟอสซิลจะยังคงสูงต่อไป ส่งผลให้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือพีดีพี ที่อยู่ระหว่างจัดทำไม่เพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2065 นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของ Data Center จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก อาจทำให้พลังงานสะอาดไม่เพียงพอ และก่อให้เกิดการใช้พลังงานที่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว

ทีดีอาร์ไอ ได้มีข้อเสนอลำดับเป้าหมายการเปิดไฟฟ้าเสรี โดยระยะแรก (2026-2030) ควรมุ่งเน้นภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และธุรกิจที่ต้องการพลังงานสะอาด เช่น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ผ่านการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) ระหว่างผู้ผลิตพลังงานสะอาดและผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ซึ่งคิดเป็น สัดส่วน 41% ของจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดในตลาดไฟฟ้าเสรี

ระยะที่ 2 (ก่อนปี 2037) ควรเพิ่มการเข้าถึงตลาดเสรีสำหรับกลุ่มผู้ใช้ในโรงงานและอาคารควบคุมขนาดกลางและขนาดเล็กรวมไปถึงผู้ประกอบการใน วิสาหกิจขนาดกลาง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 45%

ระยะที่ 3 (ก่อนปี 2050) ควรเพิ่มกลุ่มกิจกรรมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งคิดเป็น 65% และหลังจากนั้นใน ระยะที่ 4 จึงครอบคลุมถึงภาคครัวเรือนทั้งหมด ซึ่งทำให้เกิดตลาดไฟฟ้าเสรีในประเทศไทยครบทั้ง 100%

ดังนั้น การกำหนดมาตรการกำกับดูแลและมาตรการส่งเสริมการแข่งขันที่ชัดเจน จะทำให้การบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างไฟฟ้าเกิดการแข่งขัน มีราคาที่เป็นธรรม พร้อมทั้งมีปริมาณพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งการวางเป้าหมายเหล่านี้จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ