เศรษฐกิจไทย กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ที่ต้องเผชิญทั้งความท้าทายและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ธุรกิจในประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก (Global Value Chain - GVC) แต่ยังติดอยู่ในขั้นตอนของการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว การก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นจำเป็นต้องอาศัยนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งปัจจุบัน นวัตกรรมสีเขียวกำลังกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการแข่งขันระดับโลก
แม้เศรษฐกิจไทยจะมีความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมการผลิต แต่ ธุรกิจไทยยังมีความเปราะบางสูงต่อความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น น้ำท่วม พายุไซโคลน ดินถล่ม ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว เช่น กรุงเทพฯ ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนของปัญหานี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าความรุนแรงของภัยธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างชัดเจนของผลกระทบที่ธุรกิจต้องเผชิญคือ น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็น 12.6% ของ GDP ความเสียหายเหล่านี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและสินทรัพย์ของภาคธุรกิจ แต่ยังส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงไปทั่วโลก
แม้จะรับรู้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจไทย ยังลงทุนในการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศน้อยกว่าคู่แข่งในภูมิภาค ขณะที่ตลาดทุนสีเขียวในประเทศไทยยังตื้นเขินเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ส่งผลให้โอกาสในการระดมทุนสำหรับโครงการพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวมีจำกัด
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีระดับ การลงทุนจากภาคเอกชนในโครงการพลังงานสะอาดต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และยังคงพึ่งพาการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากการผลิตต่อการใช้พลังงานต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศที่ได้รับการศึกษาในปี 2564
แม้ว่าจะมีความท้าทายมากมาย แต่ธุรกิจไทยก็มีโอกาสครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว หากสามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงที โอกาสสำคัญที่ไทยควรให้ความสนใจ ได้แก่
แม้ว่ารัฐบาลไทยจะให้ความสำคัญกับนวัตกรรมสีเขียว แต่ยังมุ่งเน้นไปที่ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) มากกว่าการปรับตัว (Adaptation) ทั้งที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติสูงสุด แต่ งบประมาณที่ใช้กับโครงการด้านการบริหารจัดการน้ำ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการฟื้นฟูดิน คิดเป็นเพียง 10% ของงบประมาณทั้งหมด
เพื่อให้การสนับสนุนนวัตกรรมสีเขียวมีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลสามารถปรับแนวทางให้ตอบโจทย์ภาคธุรกิจได้ดีขึ้น เช่น
การขับเคลื่อนนวัตกรรมสีเขียวไม่สามารถทำได้โดยภาครัฐเพียงลำพัง ภาคเอกชนต้องมีบทบาทมากขึ้น ทั้งในฐานะผู้ได้รับประโยชน์จากมาตรการของรัฐ และในฐานะผู้ร่วมออกแบบนโยบายเพื่อให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจ
ขณะเดียวกัน ภาคการเงินมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการลงทุนด้านเทคโนโลยีสีเขียว โดยต้องมีการพัฒนาระบบประเมินเครดิต กฎหมายล้มละลาย ระบบค้ำประกันหลักทรัพย์ และมาตรฐานด้านการลงทุนสีเขียว เพื่อให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น
หากประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ นวัตกรรมสีเขียวและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน แม้จะมีความท้าทายอยู่มาก แต่โอกาสก็มีไม่น้อย ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้เร็วและลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวจะเป็นผู้ที่ได้เปรียบในตลาดโลก ในขณะที่ภาครัฐและภาคการเงินต้องปรับตัวให้ทันเพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มใหม่นี้ เพราะในโลกที่กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ธุรกิจที่อยู่รอดไม่ใช่ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด แต่เป็นธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วที่สุด
อ้างอิง: รายงานการตามติดเศรษฐกิจ Thailand Economic Monitor ฉบับล่าสุด 2025
ข่าวที่เกี่ยวข้อง