ด่วน! ราคาน้ำมันดีเซลจ่อขึ้น 1 บาท พุ่งแตะ 34 บาท

10 ก.ค. 2567 | 17:27 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ค. 2567 | 17:38 น.
581

ด่วน! ราคาน้ำมันดีเซลจ่อขึ้น 1 บาท พุ่งแตะ 34 บาท หลังวันที่ 31 ก.ค. 67 แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานระบุ กบน. เตรียมพิจาณาแนวทางเพื่อรักษาสภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังติดลบกว่า 1.1 แสนล้านบาท

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการกำหนดราคาน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไปภายหลังครบกำหนดกรอบราคาไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดตรึงตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2567 ครบกำหนด 31 กรกฎาคม 2567 ว่า เบื้องต้นมีแนวโน้มว่าคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน

จะมีการพิจารณาแนวทางการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลแบบทยอยขึ้นกรอบ 1 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาปลายทางจะอยู่ที่ระดับไม่เกิน 34 บาทต่อลิตร เพื่อรักษาสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปัจจุบันฐานะ ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2567 ติดลบ 111,595 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ 63,944 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจีติดลบ 47,651 ล้านบาท

ปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกยังมีความผันผวนสูง โดยช่วงเดือนที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลงบ้างจนกองทุนน้ำมันฯลดอุดหนุนระดับ 4 บาทต่อลิตร จนสามารถเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันฯสำเร็จ 

แต่ขณะนี้แนวโน้มกลับมาขึ้นอีกครั้ง ทำให้กองทุนน้ำมันฯต้องอุดหนุนกว่า 2 บาทต่อลิตร สถานการณ์ดังกล่าวหากไม่ปรับราคาหลังวันที่ 31 กรกฎาคม อาจทำให้กองทุนน้ำมันฯสถานการณ์ยิ่งแย่

อย่างไรก็ดี ก่อนจะพิจารณาแนวทางปรับราคานั้น ตลอดเดือนมิถุนายนจนถึงปัจจุบันได้พยายามดำเนินการอีก 2 แนวทางเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาขายปลีก แต่ด้วยสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ พบว่าไม่น่าจะดำเนินการได้ ประกอบด้วย 
 

  • การส่งหนังสือถึงสำนักงบประมาณ เพื่อขอใช้งบกลางปี 2567 วงเงิน 6,500 ล้านบาท แบ่งเป็น ดีเซล 6,000 ล้านบาท และแอลพีจี 500 ล้านบาท เป็นตามที่ครม.อนุมัติไว้ภายใต้เงื่อนไขให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯดูแลราคาน้ำมันและแอลพีจีก่อน แต่เบื้องต้นได้รับการประสานอย่างไม่เป็นทางการว่างบกลางฯมีจำกัด อาจไม่สามารถนำมาดูแลราคาดีเซลและแอลพีจีได้ 
  • การเสนอกระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตดีเซลลงในอัตราที่เหมาะสม เบื้องต้นจากท่าทีของกระทรวงการคลังไม่ตอบรับการลดภาษีดังกล่าว เพราะจำเป็นต้องจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด